กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) เผยมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.70-33.30 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดแข็งค่าที่ 33.07 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 33.07-33.77 บาท/ดอลลาร์
ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินยูโรและเยน แม้ข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯไตรมาส 1/68 หดตัว 0.3% ซึ่งเป็นการลดลงรายไตรมาสครั้งแรกในรอบ 3 ปี เนื่องจากการนำเข้าพุ่งสูงขึ้นก่อนการปรับขึ้นภาษีศุลกากร และธุรกิจต่าง ๆ สะสมสินค้าคงคลัง
ด้านเงินเยนอ่อนค่าลง หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% และปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจโดยส่งสัญญาณระมัดระวังมากขึ้นสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในระยะต่อไป ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 1,492 ล้านบาท แต่มียอดขายพันธบัตร 7,411 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.50% หลังการประชุมวันที่ 5-6 พ.ค. ผู้ร่วมตลาดจะติดตามสัญญาณว่า เฟดกำลังพิจารณากลับมาลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนมิ.ย. หรือไม่ หลังตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนเม.ย. ยังแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ คาดว่าธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะลดดอกเบี้ยลง 25bps เป็น 4.25% ในวันที่ 8 พ.ค. ส่วนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของบีโอเจที่ช้าลงอาจถ่วงค่าเงินเยนเพียงช่วงสั้น โดยเรามองว่าหากเศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนระหว่างญี่ปุ่นกับต่างประเทศจะแคบลง และยังคงหนุนค่าเงินเยนในกลางถึงระยะยาว
สำหรับปัจจัยในประเทศ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวลดลง และเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าโลกและภาคท่องเที่ยว โดยสงครามการค้าจะเริ่มส่งผลกระทบมากขึ้นตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 68
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนยังสูงมาก ขณะที่ฉากทัศน์ที่การเจรจาการค้ามีความยืดเยื้อและภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ใกล้เคียงกับปัจจุบันอาจส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตราว 2% โดยประเมินว่าการปรับโทนอย่างมีนัยสำคัญของกนง. อาจนำไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 2 ครั้งก่อนสิ้นปีนี้