
พรรคเพื่อไทย เปิดข้อมูลหลังปิดดีลภาษีนำเข้าสินค้ากับสหรัฐฯ ลดลงจาก 36% เหลือ 19% ซึ่งไม่ได้ส่งผลให้เสียเปรียบ เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในเอเชียที่ทำข้อตกลงในระดับใกล้เคียงกัน เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ที่ 15%, ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่ 19% และเวียดนามที่ 20% โดยไทยยังคงรักษาความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจไว้ได้ ขณะเดียวกันถือโอกาสปรับปรุงกลไกการค้าให้ทันสมัยขึ้น
- ข้อเสนอหลักของไทยไม่ได้เปิดตลาดจนเสียเปรียบ
แม้เป็นการลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ กว่าหมื่นรายการ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กว่า 64% ของรายการสินค้านั้นมีภาษี 0% อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเสนอนี้อยู่ในระดับเดียวกับ FTA ที่ไทยมีข้อตกลงกับประเทศอื่นกว่า 18 กลุ่ม เท่ากับไทยไม่ได้เสียเพิ่ม แต่เป็นการเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ แข่งขันกับสินค้าจากประเทศอื่นได้มากขึ้น และเป็นการขยายความสัมพันธ์ทางการค้าและปรับปรุงกลไกการค้าที่ล้าสมัย-ไม่จำเป็น เพื่อให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพในการดำเนินการ และยกเลิกมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs)

- ลดภาษีนำเข้ายานยนต์จากสหรัฐฯ
ไทยจะเปิดลดภาษีให้รถยนต์จากสหรัฐฯ แต่สัดส่วนการนำเข้านั้นมีมูลค่าต่ำมากเพียงราว 40 ล้านดอลลาร์/ปี เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปสหรัฐฯ ที่สูงกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์
- เปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีขั้นสูง
ไทยยินดีเปิดตลาดเครื่องมือแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ และนวัตกรรมการรักษาขั้นสูงจากสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมนโยบาย Medical Hub ของประเทศ ถือเป็นการนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงที่สร้างประโยชน์เชิงโครงสร้างในระยะยาว
- ข้าวโพด ลดต้นทุนอาหารสัตว์ ลดต้นทุนเกษตรไทย

ไทยต้องใช้ข้าวโพดกว่า 9-10 ล้านตัน/ปี แต่ผลิตได้เพียงครึ่งเดียว จึงจำเป็นต้องนำเข้า ดีลนี้จะช่วยให้ไทยนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในราคาถูกลง ไม่ใช่เพิ่มปริมาณ แต่เปลี่ยนแหล่งที่มาซื้อเดิม ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของเกษตรกรโดยตรง และยังลดปัญหา PM2.5 จากการเผาไร่ข้าวโพดได้ทางอ้อม ผลเชิงบวกจะตามมาทั้งระบบ เช่น เนื้อหมู ไก่ อาหารทะเลถูกลง ผู้บริโภคได้ประโยชน์ และอุตสาหกรรมอาหารไทยมีศักยภาพแข่งขันมากขึ้น
- เกษตรกรไทยได้เปรียบในตลาดสหรัฐฯ
สินค้าส่งออกหลัก เช่น ข้าวหอมมะลิ ที่ตลาดสหรัฐฯ มีมูลค่าสูงกว่า 32,000 ล้านบาท และเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยจะยังรักษาความได้เปรียบต่อไป ข้อตกลงใหม่นี้จึงช่วยเหลือครัวเรือนเกษตรกรกว่า 1 ล้านครัวเรือนได้โดยตรง ส่วนผัก ผลไม้ ปลา กุ้ง และสินค้าเกษตรแปรรูปอื่น ๆ ก็จะได้อานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง และมีโอกาสขยายตลาดในสหรัฐฯ

- ธุรกิจ/แรงงานไทย ได้ประโยชน์
ปัจจุบันไทยส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่ารวมกว่า 54,000 ล้านดอลลาร์/ปี สร้างงานกว่า 1.2 ล้านตำแหน่ง และมีผู้ประกอบการไทยที่ได้ประโยชน์กว่า 4,000 ราย (ส่วนใหญ่เป็น SME) ดีลนี้จึงช่วยรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยในตลาดสหรัฐฯ ทั้งการส่งออกและดึงดูดการลงทุนใหม่
- ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ
การค้ากับสหรัฐฯ คิดเป็นราว 10% ของ GDP ของไทย กระทรวงการคลังจึงปรับประมาณการ GDP ปี 2568 ขึ้นเล็กน้อยจาก 2.1% (เมื่อเมษายน) เป็น 2.2% (เมื่อกรกฎาคม) โดยรวมผลของดีลภาษีนี้เข้าไปแล้ว ซึ่งข้อตกลงนี้จึงถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะยาว
