
นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงกรณีอัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของไทย ที่ 19% ว่า ผลกระทบจากภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal tariffs) ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และผลกระทบรวมต่อ GDP ในปี 68 (ช่วง 5 เดือนหลังของปี) หดตัว 0.62% หรือลดลง 114,612 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1. ผลกระทบทางตรงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีต่อการส่งออก กระทบ GDP ลดลง 0.57% คิดเป็นมูลค่า 106,518 ล้านบาท

2. ผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทานโลก กระทบ GDP ลดลง 0.15% คิดเป็นมูลค่า 26,978 ล้านบาท
3. ประโยชน์จากการเบี่ยงเบนการค้า กระทบ GDP เพิ่มขึ้น 0.10% คิดเป็นมูลค่า 18,884 ล้านบาท
โดยสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และ ยาง-ผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งมีส่วนแบ่งในตลาดสหรัฐฯ สูง และยังพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก
ส่วนผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 69 ประเมินว่า อาจมีความรุนแรงมากขึ้น โดยคาดว่า จะมีผลกระทบต่อ GDP ให้ลดลง 1.48% หรือคิดเป็นมูลค่า 275,069 ล้านบาท หากมาตรการภาษีที่เข้มงวดไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น และ/หรือมีการเพิ่มความเข้มงวดกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศที่เป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS

สำหรับภาคส่งออก ในช่วง 7 เดือนแรกปี 68 ผลจาก Front Loading (การเร่งส่งออกล่วงหน้า) คิดเป็นมูลค่า 552,387 ล้านบาท ส่วน 5 เดือนหลังของปี 68 ผลจาก Tariff Effects และ Demand Payback คิดเป็นมูลค่าติดลบ 338,847 ล้านบาท ส่วนต่างผลจาก Demand Payback ที่อาจจะมีต่อการส่งออกในปี 69 ในช่วงครึ่งปีแรก คิดเป็นมูลค่า 213,539 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเจรจาภาษี และได้รับการปรับลดอัตราภาษีตอบโต้จากที่ประกาศไว้ 36% ลงมาเหลือ 19% ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่เท่าเทียมกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และกัมพูชา
สำหรับกลุ่มที่ได้เปรียบประเทศไทย ได้แก่ สิงคโปร์ ที่ได้รับอัตราภาษีเพียง 10% ซึ่งถือเป็นประเทศที่ได้เปรียบที่สุดในภูมิภาค รองลงมาคือ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้รับอัตราภาษี 15% ทาให้ประเทศเหล่านี้มีต้นทุนการส่งออกที่ต่ำกว่า และได้เปรียบสินค้าจากไทยในตลาดสหรัฐฯ ขณะที่สินค้าไทยที่เสียเปรียบสิงคโปร์ คือ แผงวงจรรวมขั้นสูง และเคมีภัณฑ์ขั้นสูง และสินค้าที่ไทยเสียเปรียบ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ คือแผงวงจรรวม และเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง และเครื่องจักรกล และเครื่องมืออุตสาหกรรมขั้นสูง
ส่วนกลุ่มที่เสียเปรียบประเทศไทยมีหลายระดับ เริ่มจากเวียดนาม ไต้หวัน ศรีลังกา และบังกลาเทศ ที่ได้รับอัตราภาษี 20% ตามด้วยอินเดีย และบรูไนที่ 25% ลาว และเมียนมาที่ 40% และสุดท้าย คือ จีน ที่เสียเปรียบมากที่สุดด้วยอัตราภาษี 51% ซึ่งสร้างโอกาสให้ไทยสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดจากประเทศเหล่านี้ได้
โดยสินค้าที่ไทยได้เปรียบเวียดนาม คือสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์โทรคมนาคม และรองเท้า และผลิตภัณฑ์หนัง, สินค้าที่ไทยได้เปรียบไต้หวัน คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรอุตสาหกรรม, สินค้าที่ไทยได้เปรียบอินเดีย คือ อัญมณีและเครื่องประดับ, ผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติก และเครื่องจักรกลและอุปกรณ์การผลิต และสินค้าที่ไทยได้เปรียบจีน คือ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์, เครื่องจักรกลและคอมพิวเตอร์ และเฟอร์นิเจอร์ และสินค้าเบ็ดเตล็ด
สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 6 มาตรการ ได้แก่
1. การช่วยเหลือและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
- มาตรการบรรเทาผลกระทบ: ช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ส่งออก และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ, เน้นภาคส่วนเสี่ยงสูง สิ่งทอ/เครื่องนุ่งห่ม, อาหารแปรรูป, ผลิตภัณฑ์ยาง และช่วยรักษาการจ้างงาน
- ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่า: สนับสนุน R&D และนวัตกรรม, พัฒนาสินค้าพรีเมียม และสินค้า GI (Geographic Indication) และลดการพึ่งพาการแข่งขันด้านราคา
2. การเสริมสร้างกฎแหล่งกำเนิดสินค้า
- สร้างความชัดเจนในกฎ Transshipment : เจรจากับสหรัฐฯ เพื่อสร้างความชัดเจนในเกณฑ์การพิจารณา, ลดการพึ่งพาส่วนประกอบจากจีน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษี 40% สำหรับสินค้า Transshipment และอาจจะต้องเพิ่มสัดส่วน Local Content เป็น 50-60%
- ส่งเสริมการใช้ Local Content: นโยบายและมาตรการจูงใจเพิ่มสัดส่วนการผลิตในประเทศ และเร่งพัฒนาให้สินค้าไทยมีคุณสมบัติเป็น "สินค้าไทยแท้ (สินค้าที่ติดตรา Product of Thailand)"
3. การกระจายตลาดส่งออก
- แสวงหาตลาดใหม่เพิ่มเติม: สหภาพยุโรป, ตะวันออกกลาง, ตลาดในภูมิภาค ASEAN และลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
- ใช้ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ: ใช้ประโยชน์จาก RCEP และ ATIGA (ASEAN Trade in Goods Agreement), เสริมสร้างการค้าภายในภูมิภาค และสร้างความยืดหยุ่นห่วงโซ่อุปทาน
4. การดึงดูดและรักษา FDI มูลค่าสูง
- เร่งออกมาตรการจูงใจ FDI: ปรับปรุงมาตรการจูงใจให้แข่งขันได้ และเน้นภาคส่วนที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ยานยนต์ไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์, ดาต้าเซ็นเตอร์, เทคโนโลยีขั้นสูง
- ปรับปรุงสภาพแวดล้อมธุรกิจ: พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, ปรับปรุงกฎระเบียบ และเพิ่มความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ
5. การส่งเสริมอุปสงค์ภายในประเทศ
- กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน: มาตรการกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน, ชดเชยผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอ และเสริมสร้างความเชื่อมั่น
- แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง: แก้ไขหนี้ครัวเรือนที่สูง, พัฒนาภาคเกษตรกรรม และสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจระยะยาว
6. การติดตามและการดำเนินการทูตในเชิงรุก
- เฝ้าระวังและประเมินผล: จัดตั้งกลไกเพื่อติดตามผลกระทบอย่างต่อเนื่อง และประเมินสถานการณ์ และปรับนโยบายอย่างทันท่วงที
- ดำเนินการทูตเพื่อการค้าในเชิงรุก: รักษาช่องทางสื่อสารกับสหรัฐฯ, เจรจากับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ และแสวงหาโอกาสปรับปรุงเงื่อนไขในข้อตกลงการค้าให้ดีขึ้น
ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย กล่าวว่า สำหรับอัตราภาษีสหรัฐฯ ของไทยที่ 19% เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งทางการค้า มองว่าไทยไม่เสียเปรียบ ภาพรวมทั่วโลกประเทศอื่น ๆ ยกเว้นจีนไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนมาก ดังนั้น การส่งออกของไทยไปประเทศต่าง ๆ ไม่ชะลอมาก ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันก็ไม่น่าชะลอลงเช่นกัน โดยมองว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทยปีนี้ มีโอกาสแตะ 34 ล้านคนได้
สำหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ (ประมาณการ ณ มิ.ย. 68) ยังคงอยู่ในกรณีฐาน (Base Case) คือ Tariff ที่ระดับ 15-20%, ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน คลี่คลายได้เร็ว, ความตึงเครียดพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา คลี่คลายได้เร็ว, ประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจเบิกจ่ายงบฯ ได้ 50% ในปี 68, เสถียรภาพของรัฐบาล นายกฯ อยู่ตลอดปี 68 ประเมิน GDP ที่ 1.7% (กรอบ 1.5-2.0%)
นายธนวรรธน์ เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้ จะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 1.5% แน่นอน เพราะยังเป็นไปตามเงื่อนไข Base Case ที่ Reciprocal Tariff อยู่ที่ 19% โดยขณะนี้ความตึงเครียดบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เข้าสู่ขั้นตอนการเจรจาของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) แต่ยังไม่ทราบว่าการคลี่คลายจะเป็นไปตามแผนหรือไม่ จะรวดเร็วแค่ไหน และด่านตามแนวชายแดนยังปิดหรือไม่
ทั้งนี้ ม.หอการค้าไทย ประเมินว่า ถ้ายังปิดการค้าชายแดนอยู่ มูลค่าการส่งออกจะหายไปเดือนละประมาณ 11,000 ล้านบาท ซึ่งในประเด็นนี้ยังอยู่ในสมมติฐานที่อาจคลี่คลายในเวลาเหมาะสม และไม่กระเทือนต่อเศรษฐกิจ สำหรับงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่ 1.57 แสนล้านบาท เชื่อว่ายังอยู่ในเกณฑ์ 50-75% เพราะยังไม่เห็นอัตราเร่งในการจ่าย
ในส่วนของเสถียรภาพทางการเมืองในกรณี Base Case คือไม่มีการยุบสภา ก่อนเข้าสู่งบประมาณแผ่นดินปี 69 ซึ่งขณะนี้ แผนของสำนักงบประมาณ คือตั้งใจให้งบประมาณแผ่นดินเสร็จในวันที่ 15 ส.ค.นี้ ซึ่งมองว่าน่าจะผ่าน เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินกรณีของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 22 ส.ค. 68 ดังนั้นยังเชื่อว่าการเมืองยังมีเสถียรภาพ ไม่มีผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน สำหรับภาพการเมืองหลังจากนี้ ก็เชื่อว่าอยู่ในกลไกของกรอบประชาธิปไตย จึงไม่ได้มองประเด็นการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยง
"หากมีกรณีที่มีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเร็ว งบกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมีเหตุการณ์พลิกผันในเชิงบวก ก็มองว่ามีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้ จะโตแตะ 2% ได้" นายธนวรรธน์ ระบุ