
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เปิดตัวโครงการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 5G เพื่อยกระดับบริการการแพทย์ฉุกเฉิน หรือ 5G Ambulance ด้วยความร่วมมือ 17 หน่วยแพทย์ฉุกเฉินทั่วไทยนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ยกระดับบริการการแพทย์ฉุกเฉิน นำร่องติดตั้ง 3 เทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยีแพทย์ทางไกล เทคโนโลยีทางการแพทย์ และเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยบนรถพยาบาลฉุกเฉินขั้นสูง 40 คัน คาดช่วยผู้ป่วยเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ทันท่วงทีกว่า 56,000 ราย/ปี
สำหรับการดำเนินงานในระยะแรก มีโรงพยาบาลที่ผ่านการพิจารณาเข้าร่วมโครงการรวม 17 แห่งใน 11 จังหวัด ประกอบด้วย
1) โรงพยาบาลหนองม่วงไข่ จังหวัดแพร่ 2) โรงพยาบาลแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ 3) โรงพยาบาลประทาย จังหวัดนครราชสีมา 4) โรงพยาบาลฮอด จังหวัดเชียงใหม่ 5) โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช
6) โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา 7) โรงพยาบาลสอง จังหวัดแพร่ 8) โรงพยาบาลเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี 9) โรงพยาบาลสิรินธร จังหวัดขอนแก่น 10) โรงพยาบาลมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น
11) โรงพยาบาลจักราช จังหวัดนครราชสีมา 12) โรงพยาบาลตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ 13) โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดระยอง 14) โรงพยาบาลไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี 15) โรงพยาบาลหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด 16) โรงพยาบาลปากพะยูน จังหวัดพัทลุง และ 17) โรงพยาบาลพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์
โดยโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินด้วยการสนับสนุนการติดตั้งอุปกรณ์ 5G Router และอุปกรณ์สำหรับ 3 เทคโนโลยี ได้แก่ เทคโนโลยีแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ประกอบด้วย เครื่องติดตามสัญญาณชีพระยะไกล เครื่องบันทึกภาพและส่งสัญญาณ คอมพิวเตอร์/แท็บเล็ต แพลตฟอร์มบริการการแพทย์ฉุกเฉิน กล้องบันทึกภาพความละเอียดสูงภายในรถ จำนวน 4 ชุด กล้องประจำกายเจ้าหน้าที่ เทคโนโลยีการแพทย์ฉุกเฉิน (Medical Technology) ประกอบด้วย เครื่องคำนวณและให้สารละลายอัตโนมัติ เครื่องกระตุ้นหัวใจพร้อมตรวจสอบสัญญาณชีพ (สำหรับ ALS) เครื่องกระตุ้นหัวใจอัตโนมัติ (สำหรับ BLS) เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย (Safety Technology) ประกอบด้วย กล้องภายนอกรถ จำนวน 2 ชุด
นายณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า โครงการ 5G Ambulance มีจุดเริ่มต้นมาจากการต่อยอดความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ ซึ่ง ดีป้า มีภารกิจหลักในการส่งเสริมให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในมิติต่าง ๆ เพื่อทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเมืองและชุมชนสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยหนึ่งในมิติสำคัญคือ การดำรงชีวิตอัจฉริยะ (Smart Living) ในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศ
"โครงการ 5G Ambulance ให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี 5G และอุปกรณ์ทางการแพทย์มาใช้ยกระดับบริการการแพทย์ฉุกเฉิน พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลบนรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินด้วยการให้คำปรึกษาทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ อีกทั้งยกระดับทักษะแก่บุคลากรเพื่อแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการทางการแพทย์ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาด้านการสื่อสาร ความล่าช้าในการรับแจ้งเหตุ การขาดข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับผู้ป่วย การช่วยเหลือเพื่อเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย ฯลฯ ทั้งหมดเพื่อให้เกิดการช่วยเหลือที่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น โดยคาดว่าจะเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการการแพทย์ฉุกเฉินเพิ่มกว่า 56,000 ราย/ปี" นายณัฐพล กล่าวขณะที่ นพ.อารยะ ไข่มุกด์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับการยกระดับระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินมาโดยตลอด ทั้งในด้านกฎหมาย การจัดระบบงบประมาณ การพัฒนาบุคลากร และการร่วมมือกับหน่วยงานภาคีทุกภาคส่วน อีกทั้งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นการริเริ่มดำเนินโครงการ 5G Ambulance จาก กระทรวงดีอี โดย ดีป้า จึงถือเป็นการวางรากฐานใหม่ให้กับระบบการช่วยชีวิตของประเทศ และหากยกระดับระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมทั้งคน องค์ความรู้ ระบบปฏิบัติการ และเทคโนโลยี จะไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตแก่ผู้ป่วยฉุกเฉิน แต่ยังเป็นเสาหลักในการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนไทยในระยะยาว