"พิชัย" มองบวก! ภาษีสหรัฐฯ เป็นโอกาสไทยปรับโครงสร้างศก. หวัง GDP โตเกิน 2%

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 18, 2025 16:57 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ปรับประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เพิ่มเป็น 2% จากเดิมที่ 1.8% ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจในขณะนี้ ต้องยอมรับว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การย้ายฐานการผลิต รวมถึงมาตรการภาษีของสหรัฐ

รองนายกฯ และรมว.คลัง มองว่า กรณีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปกว่าเดิม แต่เมื่อมีปัญหามาตรการภาษีสหรัฐฯ เข้ามา ทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศชะลอตัวลงเหมือนกันหมด ดังนั้น ไทยอาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อเริ่มปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากไทยสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ก็มีโอกาสที่ GDP จะขยายตัวได้มากกว่า 2%

"ถ้าเราเริ่มปรับปรุงให้ถูกที่ ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ขยับขึ้นไป ตอนนี้เรารู้อยู่แล้วว่าต้นเหตุของปัญหาอยู่ที่ไหน มาจากที่ไหน การเข้าไปแก้ปัญหา โดยเฉพาะในภาคการส่งออก ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องท่องเที่ยว การผลิตภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรมที่ยังเป็นแบบเดิม ก็ถึงเวลาที่ต้องปรับให้เป็นแบบใหม่ เหล่านี้คือสิ่งที่จะต้องทำตามมาหลังจากนี้อยู่แล้ว" นายพิชัย กล่าว

สำหรับเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ในส่วนของสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) นั้น นายพิชัย ระบุว่า หากเป็นสินค้า transshipment โดยสมบูรณ์ ไทยมีความกังวลน้อยมาก เมื่อเทียบกับสินค้า transshipment ที่ผ่านเข้ามาแล้วแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพราะตรงนี้ไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเท่าไร ไม่มีมูลค่าเพิ่ม และไทยก็ไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

"วิธีการที่ดีที่สุด คือ การเข้าไปเข้มงวดในการออกใบแสดงถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) หากไทยมีการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า และไม่ออกใบแสดงถิ่นกำเนิดสินค้าให้กับสินค้าที่เป็น transshipment ซึ่งเมื่อสินค้าเหล่านี้ส่งออกไม่ได้ ก็ขายไม่ได้ ตรงนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ง่าย และดีที่สุด" นายพิชัย ระบุ

รองนายกฯ และรมว.คลัง ยังกล่าวถึง งบประมาณรายจ่ายปี 2569 ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเรียบร้อยแล้วว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาติดขัดอะไร ในส่วนของกระทรวงการคลัง และรัฐบาลสามารถอธิบายทุกมาตราได้อย่างชัดเจนว่า เม็ดเงินแต่ละส่วนมีการใช้จ่ายเพื่ออะไรบ้าง

"ยอมรับว่าจากการอภิปราย มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ ซึ่งกระทรวงการคลังพร้อมที่จะรับมาพิจารณา เพื่อดูว่าอะไรที่สามารถปรับปรุงได้ในปีงบประมาณนั้น หรืออะไรที่จะปรับปรุงได้ในปีงบประมาณถัดไป" นายพิชัย ระบุ

ส่วนสถานการณ์หนี้ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 1 ล้านล้านบาทนั้น นายพิชัย ระบุว่า หากพิจารณาลงในรายละเอียดจะพบว่า มีเพียง 2 รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาค่อนข้างมาก คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)

โดยในส่วนของ ขสมก.นั้น การจะแก้ปัญหาได้ ต้องผ่านเรื่องรถเมล์ไฟฟ้าให้ได้ก่อน ส่วน รฟท. นั้นอาจจะต้องมีการแยกบัญชีกับหนี้เดิมที่มีอยู่ เพื่อตัดค่าเสื่อมออกมาทั้งหมด ส่วนการลงทุนรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ ที่มีการลงทุนจำนวนมาก จะทำให้มีค่าเสื่อมเยอะ ซึ่งอาจจะขาดทุนมากในระยะแรก ก็ต้องมาดูกระบวนการบริหารจัดการ โดยเชื่อว่าหากทำมาถูกทาง จัดกลุ่มหนี้ให้ดี ก็น่าจะสามารถแก้ปัญหาได้จบ

"ทุกอย่างต้องค่อย ๆ ทำไป ไม่มีอะไรที่สามารถทำได้ทีละ 10-20 เรื่อง ถ้าหากให้พูดตรง ๆ ตรงไหนที่ควรให้เอกชนทำ ก็ต้องพิจารณาไป แต่ถ้าเรื่องไหนหน่วยงานทำเองได้ และจำเป็นต้องทำ ก็ต้องดำเนินการกันต่อไป ส่วนเรื่องการตั้ง Infrastructure Fund เพื่อหนุนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทนั้น ขอให้ใจเย็น ๆ ก่อน" รองนายกฯ และรมว.คลัง ระบุ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ