นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ 32.46/47 บาท/ดอลลาร์ จากเปิดตลาดเมื่อ เช้าที่ระดับ 32.49/50 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.44 - 32.56 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทระหว่างวันยังไร้ปัจจัยใหม่ เคลื่อนไหวตามแรงซื้อขายระหว่างวัน โดยไปในทิศทางเดียวกับสกุลเงินส่วนใหญ่ใน ภูมิภาค
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ไว้ที่ 32.30 - 32.60 บาท/ดอลลาร์
- เงินเยน อยู่ที่ระดับ 147.87/88 เยน/ดอลลาร์ จากเมื่อเช้านี้ที่ระดับ 147.61/62 เยน/ดอลลาร์
- เงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.1592/1593 ดอลลาร์/ยูโร จากเมื่อเช้านี้ที่ระดับ 1.1634/1635 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ 1,248.03 จุด ลดลง 3.23 จุด (-0.26%) มูลค่าซื้อขาย 46,883.54 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,893.82 ล้านบาท
- ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศความสำเร็จจัดงาน Thailand Focus 2025: Beyond the
Challenges ระหว่างวันที่ 27-29 ส.ค.กองทุนทั่วโลกเข้าร่วม 180 รายจาก 75 สถาบัน ในจำนวนนี้มีผู้ลงทุนจากกลุ่มประเทศหลัก
ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และจากยุโรป ทั้งนี้ มีจากกลุ่มประเทศใหม่ ๆ ด้วย เช่น จากตะวันออกกลาง และ เอเชียใต้
- รมช.คลัง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 อาจจะโตมากกว่า 2.2% จากแรงส่งครึ่งปีแรกที่เติบโตดี ซึ่งกระทรวงการคลัง
ได้ปรับเพิ่มประมาณการจีดีพีเป็นเติบโตที่ 2.2% ในปีนี้ และอาจจะโตมากกว่านี้ได้ การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 68 มีความ
แข็งแกร่งขึ้น โดยได้แรงหนุนจากห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ขณะที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้จ่ายต่อหัว
ของนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
- ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 68 ขยายตัว 1.8%
(จากเดิม 1.5%) และปี 69 เพิ่มเป็น 1.5% (จากเดิม 1.2%) โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเร่ง Front-loading สินค้าส่งออกในช่วง
ครึ่งแรกของปี ก่อนสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นมาก สอดคล้องกับข้อมูลเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/68 ที่ประกาศออกมา ขยายตัวได้
2.8%YOY สูงกว่าที่ประเมินไว้เล็กน้อย จากการเร่งส่งออกสินค้า และการลงทุนภาคเอกชนที่กลับมาขยายตัว ส่วนหนึ่งจากฐานต่ำ และจาก
อัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทยที่เจรจาได้ต่ำกว่าคาดเหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งหลัก ช่วยให้แนวโน้มส่งออกและลงทุนปรับดีขึ้น
บ้าง
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุม กนง. ซึ่งที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ย
นโยบายลง 0.25% ต่อปี จาก 1.75% เป็น 1.50% ต่อปี โดยมองว่านโยบายการเงินควรอยู่ในระดับผ่อนคลาย เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ควรคำนึงถึงการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะปานกลาง และขีดความสามารถของนโยบายการเงินที่มีจำกัด
- ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินว่า ราคาทองคำมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวน โดยได้แรงหนุนจากประธาน
เฟด ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่สมาชิกเฟดคนอื่นแสดงความไม่มั่นใจที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. ส่วน
การเจรจาเพื่อหยุดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยังไม่ได้ข้อสรุป อีกทั้งสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียม เป็นปัจจัยหนุน
ทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย สัปดาห์นี้แนะจับตาการประกาศตัวเลข GDP และเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทาง
อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ มองกรอบทองคำสัปดาห์นี้ 3,280-3,400 ดอลลาร์/ออนซ์ หากไม่ผ่านแนวต้านให้ชะลอการลงทุน
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) ว่า ได้ออกข้อกำหนดในการเรียกเก็บภาษีป้องกันการทุ่มตลาด
(anti-dumping duties - AD) และภาษีตอบโต้ (countervailing duties -CVD) กับ 10 ประเทศ หลังจากทำการสอบสวน
เกี่ยวกับการนำเข้าผลิตภัณฑ์เหล็กที่ทนทานต่อการกัดกร่อน