
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ได้หารือกับคณะผู้บริหารหอการค้าไทย ตลอดจนภาคเอกชนผู้ส่งออก เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือในการรับมือกับมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเกษตรของไทย ป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์ควบคุมสินค้านำเข้าไม่ได้มาตรฐาน และส่งเสริมการค้ากับตลาดใหม่ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไทย ต่อกฎระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และช่วยเหลือผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
นางศุภจี กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของไทย โดยตั้งเป้าหมายให้การเจรจารายละเอียดมีข้อยุติภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ ได้รับความชัดเจนและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมเน้นให้ทุกภาคส่วนทำการบ้านล่วงหน้า รวมทั้งเตรียมตลาดทดแทน และวางกลยุทธ์สินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก

รมว.พาณิชย์ กล่าวด้วยว่า กระทรวงฯ เตรียมบริหารจัดการข้าวคงเหลือจำนวน 1.8 ล้านตัน โดยจะร่วมมือกับเกษตรกร และภาคเอกชน ในการยกระดับคุณภาพ และบรรจุภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม ผลักดันให้เกิดต้นแบบเกษตรกรคุณภาพ ที่สามารถสร้างรายได้อย่างยั่งยืน เป็นตัวอย่างให้กับเกษตรกร รวมถึงศึกษาความต้องการของตลาดโลก เพื่อขยายการผลิตพืชเกษตรที่มีศักยภาพสูง

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ มุ่งมั่นผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเปิดโอกาสทางการค้าใหม่ให้กับผู้ประกอบการไทย และสร้างรากฐานเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวต่อไป
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัจจุบันการส่งออกไปสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีดังกล่าว ทำให้การสั่งซื้อสินค้าชะลอตัวลง แต่ภาคเอกชนมั่นใจว่า ภายใต้การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน จะสามารถขับเคลื่อนและบรรเทาผลกระทบได้อย่างเป็นรูปธรรม
นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนต้องการเห็นความคืบหน้าในการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA)ให้ FTA ไทย-เอฟตา มีผลบังคับโดยเร็ว เพื่อปูทางสู่ FTA ไทย-อียู และฉบับอื่น ๆ ซึ่งหากสามารถสรุปเร็ว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยได้อย่างมาก
ด้าน ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ภาคการส่งออกข้าว ยังเผชิญปัญหาขาดแคลนพันธุ์ข้าวที่ตรงกับความต้องการของตลาดโลก จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ เพิ่มผลผลิตต่อไร่ และรักษาค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่แข่งขันได้
น.ส.ปริม จิตจรุงพร ประธานสภาธุรกิจไทย-อินเดีย กล่าวว่า ตลาดอินเดียมีศักยภาพสูง และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้า วัสดุก่อสร้าง ของตกแต่งบ้าน และอาหาร พร้อมขอความร่วมมือจากกระทรวงพาณิชย์ ในการส่งเสริมการค้ากับแต่ละรัฐของอินเดียอย่างเป็นระบบ
พร้อมกันนี้ ภาคเอกชนยังได้เสนอให้จัดตั้ง "คณะทำงานเชิงรุก ด้านผลิตภัณฑ์ยางพารา" ระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ และเกษตรกร รับมือภาวะตลาดซบเซา และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตรวจสอบเชิงลึก และบังคับใช้กฎหมายกับผู้ถือหุ้นนอมินีอย่างเข้มงวด