นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) แถลงภาวะการค้าระหว่างประเทศ เดือน ก.ย.68 ว่า การส่งออก มีมูลค่า 30,970.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 19% จากตลาดคาด 7.0-7.2% ถือเป็นอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 42 เดือน และการส่งออกของไทย ยังคงขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 15 ส่วนในแง่ของมูลค่าส่งออก ถือว่ามีมูลค่าสูงสุดในรอบ 4 เดือน (นับตั้งแต่ พ.ค.68 ที่มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 31,044 ล้านดอลลาร์) ด้านมูลค่าการนำเข้า อยู่ที่ 29,695.6 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 17.2% ส่งผลให้เดือนในเดือนก.ย.68 ไทยเกินดุลการค้า 1,275.2 ล้านดอลลาร์

สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.68) มูลค่าการส่งออกโดยรวม อยู่ที่ 254,146.5 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.9% ส่วนมูลค่าการนำเข้าโดยรวม อยู่ที่ 254,575.8 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11.9% ส่งผลให้ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ไทยขาดดุลการค้า 429.3 ล้านดอลลาร์
นายนันทพงษ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้การส่งออกเดือนก.ย.นี้ กลับมาขยายตัวได้สูงในระดับ 2 หลัก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว แรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ผ่อนคลายลง ซึ่งเห็นความชัดเจนมากขึ้นจาก และเป็นอัตราภาษีในระดับที่ไทยสามารถแข่งขันได้กับประเทศคู่แข่ง ประกอบกับวัฎจักรการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ยังเติบโตต่อเนื่องในหลายตลาด
ผู้อำนวยการ สนค. ประเมินว่า หากมูลค่าการส่งออกในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ (ต.ค.-ธ.ค.68) สามารถทำได้เฉลี่ยอย่างน้อยเดือนละ 25,000-26,000 ล้านดอลลาร์ ก็คาดว่าภาพรวมทั้งปี การส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ 9.4-10.4% ซึ่งถือว่าสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 2-3% เป็นอย่างมาก โดยคิดเป็นมูลค่ารวม 3.29-3.32 แสนล้านดอลลาร์
- เล็งปรับเป้าส่งออกใหม่ รอเคาะตัวเลข ธ.ค.
นายนันทพงษ์ กล่าวแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดยคาดว่าจะยังคงขยายตัว แม้จะเป็นอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหาร ที่ยังคงมีความต้องการในตลาดโลก อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่สร้างแรงกดดันและความผันผวนต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ความเสี่ยงจากภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐฯ ที่อาจยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ จะประเมินเป้าหมายการส่งออกทั้งปีนี้ใหม่อีกครั้งในช่วงเดือนธ.ค. โดยจะต้องหารือกับผู้ประกอบการส่งออกใน 10 กลุ่มสาขา รวมทั้งหารือกับทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่าง ๆ เพื่อสรุปออกมาเป็นเป้าหมายใหม่สำหรับปีนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะขยายตัวได้สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 2-3% อย่างแน่นอน
"เราจะคุยกับภาคธุรกิจในแต่ละสาขา ประมาณ 10 กลุ่ม รวมทั้งหารือกับทูตพาณิชย์ เพื่อดูเรื่องตลาดส่งออกด้วย คาดว่าจะเสร็จประมาณกลางเดือนธ.ค. น่าจะได้ทราบเป้าหมายใหม่ที่ชัดเจน" ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวพร้อมกันนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งขับเคลื่อนนโยบายหลายด้าน ทั้งการเจรจากับคู่ค้าเพื่อเพิ่มการนำเข้า เร่งปิดดีล FTA ที่อยู่ระหว่างเจรจา เข้มงวดการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าในกลุ่มเฝ้าระวัง รวมถึงสร้างความเป็นธรรมให้ผู้ประกอบการไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกที่ตั้งไว้
- การส่งออกในรายกลุ่มสินค้า-รายตลาด
- สินค้าเกษตร มีมูลค่า 1,955.5 ล้านดอลลาร์ หดตัว 18.2% เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ทั้งนี้ สินค้าเกษตรที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ไก่แปรรูป และกุ้งสด แช่เย็น-แช่แข็ง
- สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร มีมูลค่า 2,054.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 4.1% กลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน โดยสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ น้ำตาลทราย, ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์, ผลิตภัณฑข้าวสาลี และอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ
- สินค้าอุตสาหกรรม มีมูลค่า 26,339.3 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 26.4% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 สินค้าอุตสาหกรรมที่ขยายตัวดี ได้แก่ เครื่องโทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, หม้อแปลงไฟฟ้า และส่วนประกอบ, อัญมณี และเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ), รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, เครื่องจักรกล และส่วนประกอบ
โดยตลาดส่งออกสูงสุด 10 อันดับแรกของเดือนก.ย.68 มีดังนี้ อันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัว 490.4% อันดับ 2 สหรัฐอเมริกา ขยายตัว 35.3% อันดับ 3 รัสเซีย และ CIS ขยายตัว 32.5% อันดับ 4 ลาตินอเมริกา ขยายตัว 31.7% อันดับ 5 เอเชียใต้ ขยายตัว 28.6% อันดับ 6 อาเซียน (5) ขยายตัว 20.4% อันดับ 7 แคนาดา ขยายตัว 16.9% อันดับ 8 สหภาพยุโรป ขยายตัว 11.9% อันดับ 9 ตะวันออกกลาง ขยายตัว 8.1% และอันดับ 10 ญี่ปุ่น ขยายตัว 6.2%
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวด้วยว่า การส่งออกไปสวิตเซอร์แลนด์เดือนก.ย.68 ที่ขยายตัวสูงถึง 490% นั้น สาเหตุหลักมาจากการส่งออกทองคำแท่ง ที่เพิ่มขึ้นกว่า 200% ส่วนประเด็นที่การส่งออกทองคำไปยังกัมพูชา ที่ลดลง 76% มูลค่า 75.2 ล้านดอลลาร์นั้น อาจเป็นผลจากที่ก่อนหน้านี้กัมพูชานำเข้าไปมากแล้ว
ด้านนายนิรวัชช์ รังสีกาญจน ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ชี้แจงว่า ประเทศไทยส่งออกทองคำมายังกัมพูชาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เหตุที่การส่งออกทองคำลดลง เชื่อว่าเป็นผลจากสภาพเศรษฐกิจในกัมพูชาเอง ที่ทำให้ความต้องการทองคำลดลง ประชาชนมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น รวมทั้งปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาด้วย
"การส่งออกทองไปกัมพูชาลดลง เพราะ demand ในกัมพูชาลดลง ความต้องการทองคำขึ้นกับเศรษฐกิจของกัมพูชาด้วย ถ้าเศรษฐกิจดี ก็จะซื้อทองมาก แต่ตอนนี้กัมพูชาก็ซื้อทองจากหลายประเทศลดลง เศรษฐกิจแบบนี้ ทำให้เขาค่อนข้างระมัดระวังการใช้จ่าย" นายนิรวัชช์ ระบุโดยปัจจุบัน กัมพูชานำเข้าทองคำจาก 3 ประเทศหลัก คือ สิงคโปร์, ฮ่องกง และสวิตเซอร์แลนด์