คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เผยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุน 9 เดือนแรก ปี 2568 เติบโตเกือบเท่าตัว มูลค่ารวมทะลุ 1.3 ล้านล้านบาท จากกว่า 2,600 โครงการ นำโดยอุตสาหกรรมดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า สอดรับกระแสเศรษฐกิจดิจิทัลและความต้องการอุปกรณ์เทคโนโลยีขั้นสูงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ต่างชาติลงทุนกว่า 9.8 แสนล้านบาท สะท้อนเชื่อมั่นไทยจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการ BOI เปิดเผยว่า ช่วง 9 เดือนแรกปี 68 (ม.ค. - ก.ย.) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในแง่จำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีจำนวน 2,622 โครงการ เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 1,374,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 94% สะท้อนว่านักลงทุนให้ความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ทั้งด้านปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ความพร้อมรองรับการลงทุน ศักยภาพการเติบโตในระยะยาว รวมทั้งบทบาทของไทยในการเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน

- กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงในช่วง 9 เดือน ได้แก่
1. ดิจิทัล โดยเฉพาะกิจการ Data Center ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ และกิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล และดิจิทัลคอนเทนต์ มูลค่า 612,768 ล้านบาท (119 โครงการ)
2. อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น การผลิต PCB, Hard Disk Drive, ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ การผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ มูลค่า 184,078 ล้านบาท (382 โครงการ)
3. การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล มูลค่า 74,212 ล้านบาท (300 โครงการ)
4. ยานยนต์และชิ้นส่วน เช่น การลงทุนปรับปรุงสายการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ การผลิตยางล้อและชิ้นส่วนรถยนต์ ชิ้นส่วนอากาศยาน มูลค่า 70,985 ล้านบาท (229 โครงการ)
5. เกษตรและอาหาร เช่น การแปรรูปอาหาร อาหารสัตว์ สารสกัดจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ยาง และผลิตภัณฑ์จากเศษวัสดุทางการเกษตร มูลค่า 47,200 ล้านบาท (228 โครงการ)
6. ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม มูลค่า 36,766 ล้านบาท (230 โครงการ)
7. การแพทย์ เช่น กิจการโรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง และการผลิตอุปกรณ์การแพทย์ มูลค่า 25,086 ล้านบาท (89 โครงการ)
8. การท่องเที่ยว เช่น กิจการโรงแรม กิจการสร้างแหล่งท่องเที่ยว มูลค่า 15,902 ล้านบาท (21 โครงการ)
- ต่างชาติลงทุนกว่า 9.8 แสนลบ.
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,947 โครงการ เพิ่มขึ้น 38% เงินลงทุนรวม 985,337 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82%
โดย 5 อันดับแรก ที่มีมูลค่าการขอรับการส่งเสริมสูงสุด ได้แก่ สิงคโปร์ 359,805 ล้านบาท ฮ่องกง 237,264 ล้านบาท จีน 142,887 ล้านบาท สหราชอาณาจักร 100,295 ล้านบาท และญี่ปุ่น 73,754 ล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ เงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นมาก เกิดจากการลงทุนในกิจการ Data Center ขนาดใหญ่จากสิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร และกิจการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงานจากฮ่องกง ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยต่อยอดอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อเศรษฐกิจ และการเติบโตของไทยในระยะยาว
ในด้านพื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก มีมูลค่า 855,228 ล้านบาท จาก 1,431 โครงการ รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 300,300 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 28,560 ล้านบาท ภาคเหนือ 25,940 ล้านบาท ภาคใต้ 24,445 ล้านบาท และภาคตะวันตก 12,664 ล้านบาท ตามลำดับ
- การขอรับการส่งเสริมตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart และ Sustainable Industry)
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีคำขอรับการส่งเสริมจำนวน 402 โครงการ เพิ่มขึ้น 49% มูลค่าเงินลงทุนรวม 37,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81% ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อยกระดับไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ การนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ มาใช้ในกิจการการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน และการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับสถิติในขั้นการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน ในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2568 มีจำนวน 2,413 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1,114,798 ล้านบาท โดยประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติเหล่านี้ คาดว่าจะมีการใช้วัตถุดิบในประเทศประมาณ 6.1 แสนล้านบาท/ปี เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 175,000 ตำแหน่ง และทำให้มูลค่าส่งออกของประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 1.4 ล้านล้านบาท/ปี ขณะที่ตัวเลขในขั้นการออกบัตรส่งเสริม มีจำนวน 2,050 โครงการ เงินลงทุนรวม 947,661 ล้านบาท
เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า สถิติการลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ แสดงให้เห็นถึงคลื่นการลงทุนที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น Data Center และอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ กลุ่มแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และกิจการผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งของซัพพลายเชนให้กับอุตสาหกรรมหลักของไทย อย่างยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์
"การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนนี้ จะช่วยหนุนให้เกิดการเติบโตของการจ้างงานบุคลากรไทย การพัฒนาทักษะและเทคโนโลยี การส่งออก รวมถึงการเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยบีโอไอ จะเร่งผลักดันโครงการสำคัญให้ลงทุนจริงได้เร็วที่สุด ผ่านกลไก Thailand FastPass ภายใต้นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาล เพื่อเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม" นายนฤตม์ กล่าว