วงเสวนาชี้อุตสาหกรรมเหล็กไทย ทำไมต้อง "Go Green" แนะเร่งเปลี่ยนผ่าน ก่อนตกขบวนโลก

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 29, 2025 18:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวถึงนโยบายคาร์บอนต่ำของประเทศไทยว่า การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ไม่เพียงแต่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยโดยตรง ดังนั้น หากสินค้าและธุรกิจไทยไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการทำลายสิ่งแวดล้อมได้ ก็จะประสบปัญหาการแข่งขันในตลาดโลก

โดยตัวอย่างปัญหาความสามารถในการแข่งขันที่เชื่อมโยงกับประเด็นคาร์บอน อาทิ

- ธุรกิจการบิน: การบินไทย ยังคงมีโจทย์ใหญ่ คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างสูง ทำให้ต้นทุนสูงและแข่งขันไม่ได้ ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบเที่ยวบินที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่แตกต่างกันได้ ยกตัวอย่าง เที่ยวบินกรุงเทพฯ-ปารีส หากนั่งชั้นประหยัดจะปล่อยก๊าซฯ เกือบ 1 ตันต่อที่นั่ง ขณะที่ชั้นธุรกิจปล่อย 4 ตันต่อที่นั่ง

- อสังหาริมทรัพย์: ปัจจุบันสำนักงานในประเทศมีภาวะอุปทานส่วนเกิน แต่สำนักงานที่ยังขายได้จะต้องเป็น Green Building เนื่องจากช่วยประหยัดพลังงาน ประหยัดไฟฟ้า และผู้อยู่อาศัยอยู่สบาย

- มาตรการของสหภาพยุโรป (EU) : กฎระเบียบ EU Deforestation Regulation (EUDR) ซึ่งกำลังจะบังคับใช้กำหนดให้สินค้าที่เข้าสู่สหภาพยุโรป ต้องไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า โดยต้องมีกระบวนการติดตามอย่างเป็นระบบ

สำหรับเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย ที่ตั้งเป้าหมาย Carbon Neutrality ไว้ในปี 2608 นั้นช้ากว่าอย่างน้อย 70 ประเทศที่ตั้งเป้าไว้ที่ปี 2593 โดย TDRI พยายามสนับสนุนมาโดยตลอดว่า เป้าหมายปี 2608 นั้นช้าเกินไป และจะส่งสัญญาณที่ผิดต่อภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม เริ่มมีข่าวดีว่ารัฐบาลไทยอาจเสนอเป้าหมายที่มีความทะเยอทะยานมากขึ้นในการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล ซึ่งจะส่งผลต่อการกำหนดเป้าหมายของสาขาต่าง ๆ โดยเฉพาะสาขาการไฟฟ้า ให้ต้องมีพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

  • เร่งผลักดันร่างกฎหมาย Climate Change เป็นกฎหมายหลัก

สำหรับนโยบายสำคัญที่รัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อรองรับอนาคตคาร์บอนต่ำ อาทิ

- ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ร่างนี้จัดทำโดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะเป็นร่างหลักในการกำหนดกฎหมายเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการปรับตัว โดยร่างกฎหมายนี้ จะกำหนดเครื่องมือสำคัญเพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero ได้รวดเร็วขึ้น

โดยกฎหมายดังกล่าว จะกำหนดกลไกราคาคาร์บอน เช่น การจัดตั้งระบบซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการนำคาร์บอนภาษีมาใช้ควบคู่กัน โดยภาษีคาร์บอนจะเน้นไปที่น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก

- กองทุนภูมิอากาศ (Climate Fund) เพื่อนำเงินมาสนับสนุนการปรับตัวและการลดก๊าซฯ ซึ่งเงินทุนอาจมาจากรายได้จากการประมูลโควตาการปล่อยก๊าซฯ

- ภาษีคาร์บอน ปัจจุบันกรมสรรพสามิตได้เริ่มเก็บภาษีคาร์บอนสำหรับน้ำมัน (เบนซิน ดีเซล LPG น้ำมันเตา) ในอัตรา 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า อย่างไรก็ตาม การเก็บนี้ยังไม่ได้เป็นการเก็บจริง แต่เป็นการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตที่เก็บอยู่เดิม ดังนั้น ผลกระทบต่อผู้บริโภคจึงยังอยู่ในอัตราเดิม อย่างไรก็ดี ถือเป็นการสร้างความตระหนักให้ประเทศคุ้นเคยกับคำว่าภาษีคาร์บอน

- ภาคการเงิน คือ Thailand Taxonomy กำหนดว่ากิจการประเภทใด จะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากน้อยเพียงใด โดยเฟส 1 (ดำเนินการไปแล้ว) เน้นสาขาที่ปล่อยก๊าซสูง คือ พลังงาน และขนส่ง โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะผลักดันให้สถาบันการเงินและภาคธุรกิจ นำไปใช้ในการพิจารณาสินเชื่อและการตัดสินใจลงทุน เพื่อบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริม Sustainable Financing

ส่วนเฟส 2 ที่ออกมาในเดือน พ.ค.68 เพิ่มอีก 4 สาขา ได้แก่ เกษตร (รวมพืช ปศุสัตว์ สัตว์น้ำ และป่าไม้) อสังหาริมทรัพย์และอาคาร (ทั้งเก่าและใหม่) อุตสาหกรรมการผลิต (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหนัก) และการจัดการของเสีย

ทั้งนี้ เมื่อรวมเฟส 1 และ 2 แล้ว Thailand Taxonomy จะครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศเกินกว่า 95% ขณะเดียวกัน Thailand Taxonomy เฟส 2 ยังให้ความสำคัญกับการป้องกันการฟอกเขียว โดยใช้หลักการที่ว่ากิจกรรมที่ถูกจัดประเภท จะต้องไม่ก่อให้เกิดผลลบอย่างมีนัยสำคัญ

- มาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI ที่เน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อาทิ การส่งเสริม Data Center โดยเฉพาะ Hyperscale ต้องมีการกำหนดประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน (PUE) ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ปัจจุบันตัวเลข PUE ที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI ต้องมี PUE ไม่เกิน 1.3 และมีความพยายามทำให้เข้มข้นมากขึ้นเรื่อย ๆ

ประธานทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทย กำลังเผชิญโจทย์ใหญ่จากกำแพงภาษี และการตีตลาดของสินค้าต่างชาติ ทางเลือกทางรอดของอุตสาหกรรมไทย คือ การมุ่งสู่ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Go Green) เพื่อสร้างจุดต่าง หากธุรกิจขนาดใหญ่พร้อม ไทยสามารถผลิตปูนซีเมนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตปิโตรเคมี และ Green Steel ซึ่งเป็นต้นน้ำที่สำคัญของหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์และการก่อสร้าง การเปลี่ยนผ่านนี้จึงเป็นบทบาทสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้ไทยมีความสามารถในการแข่งขันพร้อมกับการรักษ์สิ่งแวดล้อม

ด้าน น.ส.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิจัย TDRI กล่าวถึงความท้าทายในการเปลี่ยนผ่านทางด้านพลังงานของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเหล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของเศรษฐกิจโลกที่ถูกใช้ในหลายภาคส่วน ตั้งแต่การก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐานไปจนถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด

แม้เหล็กจะมีความสำคัญ แต่การผลิตเหล็กจัดเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนมากที่สุด โดยคิดเป็นประมาณ 7-10% ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก เนื่องจากในการผลิตยังคงใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงหลักในกระบวนการถึงเกือบ 80% ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่การลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมเหล็กนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากติดข้อจำกัดหลัก 3 ประการ ได้แก่

- ข้อจำกัดเชิงเทคนิค การผลิตเหล็กต้องการพลังงาน และความร้อนสูง ทำให้ยังไม่สามารถหาพลังงานทางเลือกอื่นทดแทนถ่านหินได้ 100%

- ข้อจำกัดเชิงเศรษฐกิจ การสร้างโรงงานผลิตเหล็กใหม่ และการปรับปรุงเทคโนโลยีต้องอาศัยเงินลงทุนที่สูงมาก อีกทั้งต้นทุนการใช้กรีนไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทางเลือก ยังคงสูงมากเมื่อเทียบกับถ่านหิน

- ข้อจำกัดเชิงสถาบัน โครงสร้างตลาดพลังงานและตลาดไฟฟ้าในปัจจุบัน ยังไม่เอื้อต่อการเร่งจัดสรรไฟฟ้าพลังงานสะอาดให้กับอุตสาหกรรมเหล็ก

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อจำกัด แต่แรงกดดันจากการค้าโลก ได้ทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งหาทางออก โดยเฉพาะจากมาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) ซึ่งคาดว่าจะมีการบังคับใช้เร็ว ๆ นี้ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล็ก เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากยุโรปเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำเข้าเหล็กหลัก

ดังนั้น หากกระบวนการผลิตมีการปล่อยคาร์บอนเกินมาตรฐาน ผู้ประกอบการจะต้องจ่ายราคาคาร์บอนข้ามแดนที่เทียบเท่ากับราคาคาร์บอนในตลาดยุโรป ซึ่งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ราคาดังกล่าวได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 5 เท่า ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันอย่างมาก

เป้าหมายเร่งด่วน คือ จะต้องมีไฟฟ้าสะอาด 40% ภายในปี 2030 เพื่อรักษามูลค่าทางเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุน และป้อนให้กับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งภาครัฐต้องเข้ามาช่วยแก้ไขข้อจำกัดเชิงสถาบัน โดยการปฏิรูปโครงสร้างตลาดไฟฟ้า ด้วยการเปิดตลาดไฟฟ้าเสรีบางส่วน

สำหรับข้อแนะนำเชิงนโยบายสำหรับอุตสาหกรรมเหล็ก เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยต้องดำเนินการควบคู่กันทั้งจากภาคผู้ประกอบการและภาครัฐ มีดังนี้

- ผู้ประกอบการ ต้องเร่งปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และนำเทคโนโลยี AI มาใช้

- ภาครัฐ เร่งเปิด TPA เพื่อให้มีพลังงานสะอาดเพิ่มขึ้นในระบบ

- การร่วมมือระหว่างภาครัฐ และผู้ประกอบการ ควรร่วมกันพัฒนามาตรฐานการผลิต และการรายงานผลการปล่อยคาร์บอน ให้สอดคล้องกับมาตรฐานระดับสากล

- การลงทุน ภาครัฐควรเร่งพัฒนาการสร้างเขตอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดเป็นหลัก เช่น ในเขต EEC.

ขณะที่ นายรองเพชร บุญช่วยดี รองผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกประเทศไทย (TGO) กล่าวเสวนาในหัวข้อ "Thailand's Green Steel Industry Seminar" ว่า ความสามารถในการเข้าถึงพลังงานสะอาด คือปัจจัยหลักที่จะชี้ขาดความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมาย Net Zero เนื่องจากอุตสาหกรรมในทุกประเทศ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากภาคพลังงาน และกระบวนการผลิตในปัจจุบันยังใช้ฟอสซิลเป็นหลัก

อย่างไรก็ดี กระทรวงพลังงานกำลังมีแนวคิดและนโยบายที่จะตั้งเป้าหมายในการพัฒนาในเรื่องของ "Direct Credit" ซึ่งคาดว่าระเบียบที่ชัดเจนจะออกมาภายในสิ้นปีนี้ กลไกดังกล่าว จะอนุญาตให้ผู้ประกอบการสามารถเลือกซื้อไฟฟ้าในรูปแบบที่ต้องการได้เลย นอกจากนี้ ในอนาคต (ไม่เกิน 5 ปี) การพูดถึงเรื่องพลังงานจะเน้นไปที่คำว่า "Sustainable Bioenergy" ซึ่งหมายถึงการผลิตพลังงานที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดกระบวนการ

"เดิมประเทศไทยตั้งเป้าหมายลดคาร์บอนไปจนถึงปี 2608 ซึ่งเป็นไปตามบริบทที่ประเทศพัฒนาแล้วถูกบังคับให้ตั้งเป้าหมายที่มุ่งสู่การจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะปรับเป้าหมายให้มีความทะเยอทะยานมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 ทั้งนี้ การตั้งเป้าหมายดังกล่าว จะต้องคำนึงถึงบริบทของประเทศทุกประเทศในโลกด้วย" นายรองเพชร กล่าว

อุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง อย่างธุรกิจเหล็ก ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมาในปริมาณมาก การปรับตัวเริ่มต้นในขั้นตอนแรกที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการ คือการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการวัดนี้ต้องทำทั้งในระดับองค์กร และในระดับผลิตภัณฑ์

""หากผู้ประกอบการไม่มีข้อมูลการปล่อยคาร์บอนที่ชัดเจน จะประสบปัญหาอย่างแน่นอนในอนาคต แม้ว่าพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องจะยังไม่เกิดขึ้นก็ตาม แต่หากต้องการส่งออกสินค้า ก็จะเผชิญความลำบาก" นายรองเพชร กล่าว

นายเตชะ บุณยะชัย รองประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวถึงการปรับตัวของผู้ประกอบการภาคส่งออกของไทย ภายใต้แรงกดดันจากกระแสโลกที่มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ว่า ภาพรวมขณะนี้ ผู้ส่งออกกำลังประสบปัญหาความสับสนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังเกิดประเด็นการคัดค้านระเบียบเกี่ยวกับเชื้อเพลิงของเรือขนส่งสินค้า ซึ่งเป็นเส้นทางหลักในการส่งออกไปต่างประเทศ นอกจากนี้ การนำร่องใช้ท่าเรือที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Port) ซึ่งมีลองบีชเป็นต้นแบบ ก็ยังพบข้อจำกัดบางประการ ทำให้ผู้ส่งออกกำลังอยู่ในฐานะที่ต้องรอความชัดเจนในมาตรการต่าง ๆ

สรท. ได้วิเคราะห์จุดอ่อนหลักของผู้ส่งออกไทย ที่ทำให้การปรับตัวเป็นไปได้ยาก โดยมี 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.การเอาตัวรอด ผู้ประกอบการยังคงต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปวัน ๆ 2.นวัตกรรม ผู้ส่งออกยังอ่อนแอในเรื่องนวัตกรรม และ 3.Green Policy โดยเฉพาะมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากมาก

หากประเทศไทยสามารถผลิต Green Steel ภายในประเทศได้จะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ เนื่องจากปัจจุบันผู้ส่งออกต้องนำเข้า Green Raw Materials จากต่างประเทศ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องที่ต้องนำเข้าวัสดุเพื่อรีดกระป๋องให้มีความบางมาก

"ปัจจุบัน สภาผู้ส่งออกฯ กำลังดำเนินการสำรวจสมาชิกในภาคส่วน เพื่อตรวจสอบว่ามีการใช้ Green Raw Materials มากน้อยเพียงใด และมีการดำเนินการโดยสมัครใจหรือถูกบังคับ ซึ่งผลสำรวจนี้ จะถูกนำมาใช้ในการวางแผนรับมือต่อไป" นายเตชะ กล่าว

ด้าน นายนพดล ใจซื่อ นายกสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาแห่งประเทศไทย (CEAT) กล่าวถึงทิศทางของอุตสาหกรรมก่อสร้างและการบริการงานวิศวกรรมที่ปรึกษา ภายใต้กระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ Net Zero ว่า การใช้ "Green Construction" และ "Green Building" จะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่มองหาความยั่งยืน โดยพบว่าการใช้พลังงานและการดูแลสิ่งแวดล้อมของอาคาร จะมีผลตั้งแต่การกำหนดแนวคิดของโครงการ

โดยความต้องการอาคารเขียว (Green Building) และการก่อสร้างแบบยั่งยืน (Green Construction) แบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ

- งานราชการ มีข้อกำหนดในการทำอาคารเขียวน้อยมาก จากประสบการณ์พบว่ามีเพียง 1-2 อาคารเท่านั้น ส่วนใหญ่โครงการของภาครัฐมักประสบปัญหา และได้รับคำตอบว่า "งบไม่พอ" ในการผลักดันให้เกิดอาคารเขียว

- งานเอกชน เริ่มมีความต้องการอาคารเขียวมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่พักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม หรือบ้านพักอาศัย ทั้งนี้ มองว่า คนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกำลังซื้อสำคัญ เน้นความใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงเป็นเทรนด์สำคัญสำหรับที่พักอาศัย หากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใดมีนโยบายเรื่อง Green จะเป็น "จุดเด่นในการขาย"

แม้ในช่วงนี้เศรษฐกิจจะไม่ดีนัก แต่หากเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น เรื่อง Green Construction หรือ Green Building จะเป็นไฮไลท์สำคัญในวงการอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม สำหรับงานสาธารณูปโภคส่วนใหญ่ มักเป็นของราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งการทำให้เป็น Green อาจทำได้ยาก ยกเว้นรัฐวิสาหกิจบางแห่ง ซึ่งมีนโยบายที่กำหนดให้ต้องทำ Green อยู่แล้ว

"อาคารต่าง ๆ ใช้เหล็กในปริมาณมาก ดังนั้นวงการก่อสร้าง หรือโครงการก่อสร้าง จึงมีอิทธิพลในการกำหนดทิศทางของ Green Steel ค่อนข้างสูง" นายนพดล กล่าว

ขณะที่ นายบุรินทร์ คุณาธิปพงษ์ ผู้อำนวยการโครงการประเทศไทย เมอแรนติ กรีน สตีล กล่าวถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตเหล็กสีเขียว (Green Steel) ในประเทศไทย โดยมองว่า จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเปรียบเทียบการเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมเหล็กว่า ไม่ต่างจากการเปลี่ยนผ่านในอุตสาหกรรมยานยนต์ จากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ไปสู่ไฮบริด และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในห่วงโซ่อุปทาน

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยังไม่มีการผลิต Green Steel ในระดับโรงงานขนาดใหญ่ ซึ่งนับเป็นโอกาสดีสำหรับประเทศไทยที่หากมีการเริ่มต้นผลิต Green Steel ไม่ว่าจะเป็นโครงการของ Meranti หรือโครงการอื่น ๆ ก็จะช่วยให้ประเทศก้าวไปสู่มาตรฐานใหม่ด้านการปล่อยคาร์บอน อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในด้านเวลา นับตั้งแต่การศึกษา จนกระทั่งสามารถผลิตซึ่งคาดว่าจะใช้เวลานานหลายปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ