มองมุมต่าง: 9 วัน ทองคำร่วง -9% บทเรียนที่ต้องเข้าใจในสินทรัพย์ปลอดภัยก่อนจะขาดทุนซ้ำ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday October 30, 2025 11:51 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

มองมุมต่าง: 9 วัน ทองคำร่วง -9% บทเรียนที่ต้องเข้าใจในสินทรัพย์ปลอดภัยก่อนจะขาดทุนซ้ำ

การปรับตัวลดลงของราคาทองคำโลก Gold spot ที่ปรับตัวสูงสุด ณ วันที่ 20 ต.ค.68 ที่ 4,381.44 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ c9jเทียบล่าสุดเมื่อวานนี้ (29 ต.ค.68) ร่วงลงอยู่ที่ 3,953.60 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับตัวลดลงถึง -9.76%

ในขณะที่ ราคาทองคำไทย 96.5% แตะระดับสูงสุดวันที่ 21 ต.ค.68 ที่ราคาบาททองคำละ 67,100 บาท ล่าสุดวันที่ 29 ต.ค. 68 อยู่ที่ 60,700 บาท ลดลง -9.54%

ปรากฎการณ์ของการปรับลดลงของราคาทองคำโลก-ทองคำไทยที่หายไปถึง -9% ภายใน 9 วัน ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่นักลงทุนทองคำ หรือประชาชนทั่วไปที่สนใจสินทรัพย์ปลอดภัยประเภท ควรเรียนรู้และตระหนักถึงความเป็นจริง หลังราคาทองคำร่วงหนักอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาอันสั้น

มองมุมต่าง: 9 วัน ทองคำร่วง -9% บทเรียนที่ต้องเข้าใจในสินทรัพย์ปลอดภัยก่อนจะขาดทุนซ้ำ

"ทองคำ" ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset) ที่รักษามูลค่าในระยะยาวได้ดี โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวน เงินเฟ้อสูง หรือค่าเงินอ่อนตัว นักลงทุนมักถือทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการสูญเสียมูลค่าเงิน

แต่ทองคำก็ไม่ใช่สินทรัพย์ที่ราคาขึ้นตลอดเวลา หลายคนเข้าใจผิดว่า การเล่นทองคำไม่มีวันขาดทุน แต่ความจริง คือ ทองคำผันผวนและมีขึ้นลงเหมือนสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ

การแข็งค่าของดอลล่าร์ ,การปรับขึ้นดอกเบี้ย ,เงินทุนไหลกลับเข้าหุ้น หรือตลาดตราสารหนี้ สามารถทำให้ราคาทองคำลงได้เช่นกัน

มองมุมต่าง: 9 วัน ทองคำร่วง -9% บทเรียนที่ต้องเข้าใจในสินทรัพย์ปลอดภัยก่อนจะขาดทุนซ้ำ

ปัจจัยขับเคลื่อนราคาทอง (Macro Driver)

"ทองคำ" มักตอบสนองต่อ "นโยบายการเงิน" และ "ค่าเงินดอลลาร์" มากที่สุด เนื่องจาก ราคาทองคำไม่ได้เคลื่อนไหวจาก "ความสวยงาม" หรือ "ของจริงที่อยู่ในมือ"แต่เคลื่อนไหวตามปัจจัยมหภาค เช่น ดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ถ้าปรับตัวขึ้นแรง ราคาทองคำมักจะลง หรือ หากคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะลดลงเร็ว ทองคำมักจะถูกเทขายเช่นกัน

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ กับ ราคาทองคำ จะอยู่ตรงข้ามกันเสมอ กล่าวคือ หากดอลลาร์แข็ง ราคาทองจะอ่อน เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสถานการณ์ความเสี่ยงโลก ไม่ว่า สงคราม, วิกฤต, ความผันผวนตลาดเงิน ซึ่งทองคำ มักได้แรงซื้อชั่วคราว

ฉะนั้น ก่อนลงทุนทองคำ ควรต้องเข้าใจ "บริบทเศรษฐกิจโลก" ไม่ใช่ดูแค่กราฟ หรือแห่ตามชาวบ้านซื้อกัน

อย่างน้อย ควรเข้าใจสถานะการลงทุนทองคำให้ถูกทาง เพราะ "ทองคำ" ไม่ใช่สินทรัพย์เดียวที่ทุกคนจะใช้วิธีเล่นแบบเดียวกัน วิธีการลงทุนต้องขึ้นกับวัตถุประสงค์ว่าคุณเข้ามาเพื่ออะไร และสถานะของตัวคุณเป็นประเภทไหน

จะขออธิบายแยกเป็น 3 รูปแบบหลัก ของการลงทุนทองคำ ได้แก่ การออมทอง, การลงทุนทองเพื่อกันความเสี่ยง และ การเก็งกำไรทอง

1.การออมทอง (Gold Saving -Gold DCA)

วัตถุประสงค์ เพื่อเก็บสะสมทองคำเพื่อรักษามูลค่าเงินในระยะยาว โดยเน้นความมั่นคงของมูลค่ามากกว่า "ผลตอบแทน" เหมาะกับคนที่ต้องการออมแทนการเก็บเงินสด

สำหรับระยะเวลา จะใช้ระยะยาวมาก ตั้งแต่ 3-10 ปีขึ้นไป ถือโดยไม่สนใจความผันผวนระยะสั้น

สำหรับวิธีการถือ มักเก็บเป็นทองคำแท่ง หรือบัญชีออมทองออนไลน์ และซื้อด้วยเงินสด หรือแบ่งจากเงินรายเดือน หรือรายไตรมาส ตามแผน ลักษณะคล้ายการ DCA หุ้น

โดยผู้ลงทุนประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องเฝ้าราคา เพราะเป้าหมายคือ "สะสม"ให้ครบตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าหมายไว้ เช่น ทองคำ 10 บาท ภายใน 5 ปี

สำหรับความเสี่ยง การออมทองคำ คือ ความผันผวนของราคาในช่วงสั้น ค่ากำเหน็จหรือส่วนต่างซื้อขายถ้าออมเป็นทองรูปพรรณ รวมถึงหากค่าเงินบาทแข็ง ทองบาทไทยอาจไม่ขึ้น แม้ราคาทองคำโลกขึ้นก็ตาม

ส่วนผลตอบแทนที่คาดหวัง โดยเฉลี่ยระยะยาว 3-6% ต่อปี ขึ้นกับค่าเงินและวัฏจักรเศรษฐกิจ และมีจุดแข็งคือ การป้องกันเงินเฟ้อ

2.การถือทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging )

วัตถุประสงค์ ของการถือทองเพื่อใช้เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนหลัก ซึ่งสามารถปกป้องพอร์ตหลักจากวิกฤตเศรษฐกิจ, เงินเฟ้อ, ดอลลาร์อ่อนค่า ฯลฯ โดยไม่หวังผลตอบแทนหลักจากทองโดยตรง

สำหรับระยะเวลาการลงทุนประเภทนี้ คือ ระยะกลาง-ยาว ตั้งแต่ 1-5 ปี และถือเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุน เช่น 515% เป็นต้น

สำหรับวิธีการถือจะผ่านทองคำแท่ง, Gold ETF, กองทุนทองคำในประเทศไทย สามารถซื้อผ่านโบรกเกอร์หรือแอปฯ ลงทุน เพื่อให้ง่ายต่อการปรับพอร์ต

สำหรับความเสี่ยงของการลงทุนในประเภทนี้ เนื่องจากราคาทองอาจ "นิ่ง" หรือ "ลง" ในช่วงที่เศรษฐกิจดี มีดอกเบี้ยสูง เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่กลับด้าน และอยู่ตรงข้ามกับสินทรัพย์เสี่ยง หากถือผ่าน ETF ต่างประเทศจะมีความเสี่ยงค่าเงินด้วย

ส่วนผลตอบแทนคล้ายการออมทองระยะยาว (36%) แต่เป้าหมายหลักคือ ลด drawdown ของพอร์ตทั้งหมด

3. การเก็งกำไรทอง (Gold Trading ,Speculation)

วัตถุประสงค์ คือ หวัง "กำไรส่วนต่างราคา" จากการแกว่งของราคาทอง โดยไม่ได้มองทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่หวังเก็บเพื่อรอมูลค่าเพิ่มในระยะยาว ส่วนใหญ่มักอ้างอิงปัจจัยระยะสั้น ไม่ว่าจะเรื่องดอกเบี้ย, ดอลลาร์, ข่าวเศรษฐกิจ ฯลฯ

ระยะเวลาการลงทุน คือ ระยะสั้น-กลาง ไม่กี่วัน ,สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 1ปี โดยต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

วิธีการถือ จะซื้อขายผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Gold Futures), Gold Online Futures, หรือ บัญชีเทรดทองใน Stramming บัญชีเดียวกับหุ้น สามารถใช้ leverage ได้ แต่เสี่ยงสูง

ด้านความเสี่ยงของการเก็งกำไรทองคำ คือ ความผันผวนสูงมาก หากใช้ leverage ผิดจังหวะ พอร์ตมีสิทธิพังได้

นอกจากนี้ ต้องติดตามข้อมูลข่าวเศรษฐกิจสารด้านเศรษฐกิจ ตลอดเวลา แม้เวลาเข้านอน การเปลี่ยนแปลงของทิศทางดอกเบี้ย ทำให้ราคาทอง ผันผวนได้อย่างรวดเร็ว

ประกอบกับ อารมณ์ ความโลภ ความกลัว จะเป็นตัวทำลายวินัย และสร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้

สำหรับผลตอบแทน ถ้าจับจังหวะถูกกำไรบวก 10-50% ต่อรอบก็มีปรากฎมาแล้ว แต่ถ้าพลาดจะขาดทุนรวดเร็วติดลบ 10-30% ภายในไม่กี่วันก็มี ฉะนั้นต้องมีระบบเทรดและบริหารความเสี่ยงเข้มงวด

เวลาที่ขาดทุน คือช่วงที่เราจะเห็นตัวเองชัดที่สุด และสามารถเปิดเผยนิสัยการลงทุนที่แท้จริงของคุณว่ามีความเข้าใจในสินทรัพย์ประเภทนี้มากน้อยเพียงใด หรือแค่แห่ตามคนอื่น

ในทุกบทเรียนของการขาดทุน คือบททดสอบ "ความเข้าใจ-วินัย-ระบบ" ถ้าผ่านได้คุณจะเป็นนักลงทุนที่แข็งแรงกว่าครั้งก่อนเสมอ

สิ่งที่ควรจำให้ขึ้นใจ คือ "ทองคำ" ไม่ใช่สินทรัพย์ที่จะทำให้รวยเร็ว แต่เป็นเครื่องมือรักษาและป้องกันมูลค่า

การจะออม, จะใช้ป้องกันเสี่ยง หรือจะเก็งกำไร ต้องรู้ว่า "คุณอยู่ในหมวดไหน" เพราะแนวทางบริหารเงินต่างกันโดยสิ้นเชิง

โดยหลักใหญ่

การออมทอง คือ วินัยและเวลา

การป้องกันความเสี่ยง คือ การจัดพอร์ตอย่างมีระบบ

การเก็งกำไร คือการจัดการความเสี่ยงและความมีวินัยทางด้านจิตใจ

ธิติ ภัทรยลรดี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ