ปี 2026 เป็นปีที่กติกาการแข่งขันของการส่งออกไทยจะเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ แต่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ เมื่อสหภาพยุโรปเตรียมนำมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) หรือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน เข้ามาใช้จริง นี่คือมาตรการที่กำหนดให้สินค้านำเข้าทุกชนิดต้อง "จ่ายภาษีคาร์บอน" ตามปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกในกระบวนการผลิต
พูดแบบง่ายที่สุดคือ ยุโรปกำลังบอกกับผู้ผลิตทั่วโลกว่า "สำหรับการเข้าตลาดของพวกเขา การปล่อยคาร์บอนมีราคาที่ต้องจ่าย" และกติกาใหม่นี้มีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจไทย
กลุ่มสินค้าที่ถูกบังคับ ระยะแรก คือ เหล็ก ปุ๋ย ปูนซีเมนต์ อะลูมิเนียม ไฮโดรเจน และไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่า อุตสาหกรรมไทยที่เกี่ยวข้องกับสินค้าดังกล่าวตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เช่น ปิโตรเคมีสำหรับเกษตร วัสดุก่อสร้างโรงงานหล่อและขึ้นรูปอะลูมิเนียม รวมถึงโรงงานโลหะที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุตสาหกรรมแบตเตอรี่และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมไฟฟ้า จะเป็นผู้เล่นกลุ่มแรกที่ต้องเผชิญ "ต้นทุนการแข่งขันใหม่" แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
ช่วงหนึ่ง เรามักได้ยินคำแนะนำในลักษณะที่ว่า หากโรงงานปล่อยคาร์บอนเยอะ ก็สามารถซื้อ Carbon Credit เช่น โครงการปลูกป่า พลังงานสะอาด หรือโครงการลดการปล่อยที่อื่น เพื่อชดเชยภาพรวมสุทธิ และทำให้บริษัทดูเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
แต่ในโลกของ CBAM นั้น คำว่า "ชดเชย" ไม่มีความหมาย เพราะยุโรปไม่ได้สนใจว่าเราจะไปปลูกต้นไม้ที่ไหน ยุโรปสนใจเพียงว่าปล่องควันของโรงงานปล่อยเท่าไหร่ในความเป็นจริง
CBAM คือการวัด "ควันจริง" ไม่ใช่ภาพลักษณ์, ไม่ใช่ PR, ไม่ใช่ ESG Report และไม่ใช่การซื้อเครดิตเพื่อทำให้ตัวเลขดูดี และที่สำคัญคือเป็น "ต้นทุนใหม่" ที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณา
สิ่งที่ CBAM ยอมรับ คือ ค่าคาร์บอนที่ผูกกับกฎหมาย ไม่ใช่ตลาดสมัครใจ
CBAM ใช้ระบบ Carbon Allowance จาก EU ETS (EU Emissions Trading System) หรือระบบ EST ภาคบังคับของประเทศผู้ส่งออกที่เทียบเท่ากับ EU ETS เท่านั้น ผู้นำเข้าจึงจะสามารถนำหลักฐานมาหักลดภาระ CBAM ได้
เมื่อสินค้าถูกส่งเข้าตลาดยุโรป ผู้นำเข้าต้องซื้อ CBAM Certificate ในราคาที่อิงจาก Carbon Allowance นี้ ไม่ใช่ราคาของ Carbon Credit ในตลาดภาคสมัครใจ
นี่คือจุดต่างที่สำคัญที่สุด เพราะมันหมายความว่า การลดต้นทุน CBAM จะเกิดขึ้นเฉพาะจากการลดการปล่อยจริงในโรงงานเท่านั้น
ประเทศไทยยังไม่มีระบบ ETS ภาคบังคับแบบเดียวกับ EU ETS เรามีเพียงระบบสมัครใจที่ออกโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) และมาตรฐานสากลอื่นๆ ซึ่งดีต่อการทำ Net Zero และ ESG จึงไม่สามารถนำมาใช้นับเพื่อหักลดภาษี CBAM
ผลลัพธ์คือ โรงงานไทยจำนวนมากจะต้องจ่ายภาษี CBAM "เต็มจำนวน" ในขณะที่คู่แข่งจากประเทศที่มีระบบ ETS ภาคบังคับ อาจจ่ายน้อยกว่าโดยอัตโนมัติ
นี่จึงไม่ใช่เรื่องของบริษัทเดียว แต่คือเรื่องของความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
เริ่มจาก "การลดการปล่อยคาร์บอนจริง" ก่อน ไม่ใช่ "การชดเชย"
ตั้งระบบวัดและรายงานการปล่อยคาร์บอนให้ถูกต้อง มองหาวิธีลดพลังงานและความร้อนในกระบวนการผลิต เปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ทบทวนวัตถุดิบต้นน้ำ และประเมินผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตเมื่อ CBAM เริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบ
เพราะในโลกหลังจากนี้ การพิจารณาต้นทุน จะไม่ได้มีเพียงแค่ค่าแรงและราคาวัตถุดิบอีกต่อไป แต่รวมถึงการปล่อยคาร์บอน ที่จะถูกนำมาเป็นตัวชี้วัดในการแข่งขันด้วย
CBAM ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสกัดกั้นใคร แต่เพื่อแบ่งโลกออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มที่พร้อม และกลุ่มที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนอะไร
"คำถามคือ วันนี้ธุรกิจของคุณอยู่กลุ่มไหน?"ดุษดี ดุษฎีพาณิชย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายการค้า การลงทุน และอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ