นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากข้อมูลวิจัยของสหประชาชาติพบว่า ในอีก 25 ปีข้างหน้าในปี ค.ศ. 2050 ประชากรโลกที่มีอายุเกิน 60 ปีจะทะลุ 2,100 ล้านคน คิดเป็น 1 ใน 4 ของประชากรโลก ระบบบำนาญชราภาพของหลายประเทศทั่วโลก จะประสบปัญหาความยั่งยืนทางการเงิน มีความจำเป็นต้องมีการปฏิรูประบบบำนาญชราภาพ เพื่อให้เกิดเสถียรภาพของระบบ
ขณะที่สถานการณ์สังคมสูงวัยในไทยนั้น หนักกว่าสถานการณ์ของโลกโดยรวม สัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในไม่กี่ปีข้างหน้า ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างแรงงาน และทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประชากรวัยทำงานที่ลดลง เกิดภาวะการขาดแคลนแรงงาน ต้องอาศัยแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้นอีก พร้อมกับอัตราส่วนพึ่งพิงผู้สูงอายุ ที่เพิ่มขึ้นจาก 10.7% ในปี 2537 เป็น 31.1% ในปี 2567 ซึ่งหมายความว่าประชากรในวัยทำงานทุก ๆ 100 คน จะต้องแบกรับภาระในการดูแลผู้สูงอายุถึง 31 คน
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างประชากรสูงวัยของโลก ทำให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยเช่นเดียวกัน ประเทศไทยมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ และกิจการดูแลผู้สูงวัยได้ และจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญในอนาคต แต่การพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางบริการทางการแพทย์ และกิจการดูแลผู้สูงวัยดังกล่าว ต้องอยู่บนพื้นฐานที่สังคมไทยต้องจัดระบบสวัสดิการสำหรับผู้สูงวัยในประเทศให้มีความเพียงพอ และมีคุณภาพไปด้วยในขณะเดียวกัน
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การปฏิรูปโครงสร้างทางสถาบันเศรษฐกิจ และระบบสวัสดิการให้เหมาะสมกับโครงสร้างประชากรสังคมสูงวัยของไทย มีความสำคัญมากกว่า "มาตรการ" หรือ "นโยบายประชานิยม" ที่อาจช่วยเพียงบรรเทาปัญหาเท่านั้น การปฏิรูประบบการออม โดยเฉพาะการออมแบบบังคับ เพื่อรองรับความชราภาพของสังคมไทย จำเป็นต้องให้สอดคล้องกับความพร้อมทางการเงินการคลัง ระบบสวัสดิการชราภาพของประเทศอีกด้วย
"การบูรณาการระบบสวัสดิการสังคม สวัสดิการชราภาพที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น จะทำให้เกิดการแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวมากกว่า เช่น การขยายฐานสมาชิกมาตรา 40 ของกองทุนประกันสังคม โดยจ่ายเงิน 100-300 บาทต่อเดือนก็จะได้รับความคุ้มครองกรณีชราภาพด้วย ส่วนการมีนโยบายขยายเวลาเกษียณอายุทำงานภาคเอกชน เป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้สำหรับสังคมไทยที่เข้าสู่สังคมชราภาพอย่างรวดเร็ว" นายอนุสรณ์ กล่าวพร้อมระบุว่า การพัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับคนทุกช่วงวัย พร้อมสร้างระบบการออมหลังเกษียณ จะเป็นแนวทางที่แก้ปัญหาความยากจนในวัยเกษียณได้อย่างยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล มากกว่ามาตรการให้ความช่วยเหลือแบบสังคมสงเคราะห์เป็นครั้งคราว
การพัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับคนทุกช่วงวัยนั้น ต้องอยู่บนรูปแบบสวัสดิการที่มาจาก 4 ฐาน คือ
1. สวัสดิการจากฐานทรัพยากรธรรมชาติ ต้องให้ประชาชนเข้าถึง และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเสมอภาคกัน
2. สวัสดิการจากฐานชีวิตวัฒนธรรมในการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชุมชน
3. สวัสดิการจากฐานประกัน เช่น ระบบประกันสังคม การสร้างระบบการออม และการประกันการมีรายได้เมื่อเกษียณอายุการทำงาน หรือชราภาพ
4. สวัสดิการจากฐานสิทธิ
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้มีการพัฒนาระบบค่าจ้างขั้นต่ำ และเงินเดือนขั้นต่ำที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ควรส่งเสริมศักยภาพแรงงานในการมีส่วนร่วมพัฒนาระบบสวัสดิการ การยกระดับและขยายขอบเขตของสวัสดิการสำหรับแรงงานทุกกลุ่ม ส่งเสริมให้แรงงานลูกจ้างสามารถรวมกลุ่มเป็นสหภาพแรงงาน เป็นต้น
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวต่อว่า การพัฒนาระบบสวัสดิการสำหรับคนทุกช่วงวัย พร้อมกับการเพิ่มการออมสำหรับเกษียณอายุ จะช่วยเพิ่มความมั่นคงในคุณภาพชีวิตของประชาชน และสังคมโดยรวม การมีเงินออมสำหรับวัยชราภาพจะช่วยลดภาระทางการคลังของรัฐ ภาระทางการเงินที่ลดลงของภาครัฐ และประชาชนจะทำให้มีเงินมากขึ้นในการลงทุนทางด้านการศึกษาและสุขภาพ
"การลงทุนดังกล่าว จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้ในระยะยาว สัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนทางด้านศึกษา และสุขภาพเทียบกับจีดีพีมากเท่าไร เราก็จะได้คุณภาพทรัพยากรมนุษย์ที่ดีขึ้น อันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตในระยะยาว" นายอนุสรณ์ ระบุ