นายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รมว.คลังสหรัฐกล่าววานนี้ว่า วิกฤตหนี้ยูโรโซนและภาวะชะงักงันทางการเมืองของสหรัฐในประเด็นนโยบายการคลัง จะเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางการเงินและการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
“วิกฤตยุโรปที่ยืดเยื้อเป็นความเสี่ยงรุนแรงที่สุดต่อเศรษฐกิจของเรา" นายไกธ์เนอร์แถลงต่อคณะกรรมาธิการการเงินของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐเกี่ยวกับรายงานประจำปีของสภากำกับดูแลเสถียรภาพทางการเงิน (FSOC) ต่อสภาคองเกรส
นายไกธ์เนอร์กล่าวในฐานะประธาน FSOC ว่าสถาบันการเงินของสหรัฐได้ลดการลงทุนลงอย่างมากในประเทศยุโรปที่มีความผันผวนสูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และสถาบันดังกล่าวได้คงระดับเงินทุนจำนวนมากเมื่อเทียบกับการลงทุนที่ยังมีอยู่
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงขนาดของเศรษฐกิจยุโรปโดยรวมและผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกนั้น นายไกธ์เนอร์กล่าววา “วิกฤตที่รุนแรงในยุโรปจะส่งผลกระทบเชิงลบอย่างหนักมากต่อสหรัฐ"
รมว.คลังยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัว แต่ในอัตราที่ชะลอลงในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา
“การขยายตัวที่ชะลอลงของสหรัฐอาจจะรุนแรงมากขึ้นจากความวิตกเกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีและการลดรายจ่ายที่กำลังจะมีขึ้น และจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูปนโยบายภาษีและการใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการหนุนความรับผิดชอบทางการคลัง"
นายไกธ์เนอร์กล่าวเตือนสมาชิกสภานิติบัญญัติว่าความล้มเหลวในการดำเนินการปฏิรูปให้ทันเวลาและในแนวทางที่น่าเชื่อถือ จะสร้างความเสียหายต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในอนาคต
สำหรับระบบการเงินสหรัฐโดยรวมนั้น เขากล่าวว่าภัยคุกคามที่มีความเป็นไปได้ดังกล่าวได้ตอกย้ำถึงความจำเป็นที่จะผลักดันให้มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องในการฟื้นฟูความเสียหายจากวิกฤติการเงินและในการปฏิรูปเพื่อทำให้ระบบการเงินมีความแข็งแกร่งขึ้นในระยะยาว
FSOC เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายปฏิรูปการเงินดอดด์-แฟรงก์ และมีหน้าที่ในการประเมินความเสี่ยงและส่งเสริมวินัยทางการเงินองตลาด โดย FSOC ได้เสนอแนะให้ปรับปรุงความมีเสถียรภาพทางการเงินของสหรัฐ รวมทั้งสนับสนุนให้มีการให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องในการสร้างความแข็งแกร่งต่อการสำรองเงินทุนและการทดสอบภาวะวิกฤต