นอกจากนี้ ธนาคารกลางอังกฤษยังได้ตัดสินใจที่จะไม่ขยายโครงการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงิน 3.75 แสนล้านปอนด์ ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้เช่นกัน
ทั้งนี้ นับเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่ธนาคารกลางอังกฤษตัดสินใจคงดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยแบงก์ชาติอังกฤษได้ลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ 0.5% เมื่อเดือนมีนาคม 2552 และได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับดังกล่าวมานับตั้งแต่นั้น
สำหรับมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ธนาคารกลางอังกฤษได้ประกาศขยายวงเงิน QE อีก 5 หมื่นล้านปอนด์เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้วงเงินรวมของโครงการ QE ที่ธนาคารได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 เพิ่มเป็น 3.75 แสนล้านปอนด์ โดยธนาคารกลางอังกฤษได้ตัดสินใจนำมาตรการ QE มาใช้ผ่านทางการพิมพ์ธนบัตรใหม่เพื่อใช้ซื้อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ด้วยเป้าหมายที่จะเสริมสภาพคล่องในระบบธนาคาร ตลอดจนกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนในภาคธุรกิจ ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในที่สุด
เศรษฐกิจของอังกฤษหลุดพ้นจากภาวะถดถอยเมื่อช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.ที่ผ่านมา โดยเมื่อปลายเดือนที่แล้ว สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษเปิดเผยว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ปีนี้ ขยายตัว 1.0% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดนับแต่ไตรมาส 3 ปี 2550
จีดีพีของอังกฤษหดตัวลง 0.4% ในช่วงไตรมาส 2 และร่วงลง 0.3% ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ดังนั้นการที่จีดีพีไตรมาส 3 มีการขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 5 ปี จึงช่วยให้เศรษฐกิจของอังกฤษรอดพ้นจากภาวะถดถอย
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ รวมถึงผลประกอบการเอกชนที่ออกมาย่ำแย่ ก็ทำให้นักสังเกตการณ์หลายรายเชื่อว่า เศรษฐกิจอังกฤษยังคงอ่อนแอ และส่งผลให้เกิดการคาดการณ์ว่าอาจจำเป็นต้องมีการขยายขนาดของ QE อีก
ในรายงานการประชุมประจำเดือนก.ย.ของ MPC เผยให้เห็นว่า สมาชิกบางรายคิดว่า การอัดฉีดวงเงินเพิ่มน่าจะมีความจำเป็นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ขณะที่สมาชิกรายหนึ่งคิดว่า ควรขยาย QE ในทันที