รายงานของ ABA ระบุว่า ในไตรมาสดังกล่าวยอดผิดนัดชำระหนี้บัตรธนาคารได้ปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2537 โดยลดลง 0.18% สู่ระดับ 2.75% จากยอดบัญชีทั้งหมดและต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยในรอบ 15 ปีที่ 3.89%
อัตราส่วน composite ratio ซึ่งเป็นมาตรวัดการติดตามยอดผิดนัดชำระหนี้เงินกู้ 8 ประเภทลดลง 0.08% สู่ระดับ 2.16% จากยอดบัญชีทั้งหมดในไตรมาสที่ 3 และต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยในรอบ 15 ปีที่ 2.40% โดย ABA กำหนดให้การชำระเงินช้ากว่ากำหนด 30 วันขึ้นไปเป็นการผิดนัดชำระหนี้
ในขณะเดียวกัน ยอดผิดนัดชำระหนี้รายบุคคลและหนี้เงินกู้อีก 2 ประเภทได้ปรับตัวลงในสัดส่วนที่แตกต่างกัน แต่อย่างไรก็ดี ยอดผิดนัดชำระค่างวดรถได้เพิ่มขึ้นจาก 0.92% เป็น 0.95% ในขณะที่ยอดผิดนัดชำระค่าของใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้นจาก 4.09% เป็น 4.20%
เจมส์ เชสเซน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ ABA กล่าวถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องของผู้บริโภคเพื่อบริหารการเงินของตนให้ดีขึ้นว่า “ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเงินของตนเองด้วยการจ่ายชำระหนี้ในสถานณการณ์ที่เศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน"
นอกจากนี้ นายเชสเซนแสดงความเห็นว่า การเจรจาในเรื่องหน้าผาการคลังซึ่งยุติลงเมื่อไม่นานมานี้ และการหมดอายุลงของการลดหย่อนภาษีเงินได้ จะเพิ่มแรงกดดันให้กับผู้บริโภคมากขึ้น
ทั้งนี้ ABA เป็นตัวแทนของธนาคารทุกขนาดในสหรัฐและเป็นกระบอกเสียงให้กับอุตสาหกรรมธนาคารของประเทศซึ่งมีมูลค่า 14 ล้านล้านดอลลาร์ ตลอดทั้งพนักงานจำนวน 2 ล้านคนในอุตสาหกรรม สำนักข่าวซินหัวรายงาน