(เพิ่มเติม) เจ้าสัวซีพี อยู่ระหว่างเจรจาซื้อธุรกิจอาหารในสหรัฐฯ/แนะปล่อยบาทตามกลไกตลาด

ข่าวเศรษฐกิจ Friday March 15, 2013 18:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อร่วมทุนธุรกิจอาหารในสหรัฐฯ เนื่องจากปัจจุบันราคาหุ้นของสหรัฐ ถือว่ามี P/E ต่ำ หุ้นราคาถูก การลงทุนไม่ได้เน้นการเข้าไปเทคโอเวอร์ หรือการเข้าไปควบคุมกิจการ แต่เป็นการลงทุนเพื่อขยายเครือข่ายการค้าให้สามารถส่งสินค้าจากเอเชียโดยใช้เครือข่ายที่มีอยู่ในการขยายเครือข่ายระหว่างกัน ทำให้การลงทุนจะเน้นเลือกบริษัทและผู้บริหารที่เก่ง

ส่วนการเข้าไปซื้อหุ้นผิงอัน ซึ่งเป็นธุรกิจประกันที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของจีนนั้น ยังไม่มีความจำเป็นต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าว แต่เป็นการกู้เงินจากบริษัทในกลุ่มซีพี การเข้าไปลงทุนดังกล่าวเนื่องจากมองเห็นอนาคตการเติบโตของจีนในอีก 10 ปีหน้ามองว่าจีนจะเติบโตอีกหลายเท่าตัว เป็นโอกาสในการขยายตลาดและการลงทุน

ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้าการลงทุนในประเทศจีน ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ซึ่งช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะคาดว่าในช่วง 10 ปีหลังจากนี้ เศรษฐกิจและธุรกิจของจีนจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัวของช่วง 63 ปีที่ผ่านมานับจากจีนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

นายธนินท์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขณะนี้ควรปล่อยให้เคลื่อนไหวตามกลไกตลาด ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง เพราะเงินบาทที่แข็งค่าหรืออ่อนค่าย่อมมีผลดี และผลเสีย โดยเงินบาทที่แข็งค่าจะได้เปรียบจากการนำเข้าน้ำมันในราคาถูกลง และนำเข้าสินค้าในราคาถูกลง แต่ผู้ส่งออกอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งส่วนนี้รัฐบาลควรวางแนวทางการเข้าไปช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในแต่ละภาคธุรกิจ

"อย่าไปต่อสู้กับเงินบาท ต้องปล่อยตามกลไกตลาด หากมีผลเสีย ต้องดูว่าจะใช้อะไรมาช่วย" นายธนินท์ กล่าว

ขณะนี้ไทยยังไม่เห็นภาวะฟองสบู่ แต่ในอีก 10 ปีข้างหน้าอาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องเตรียมความพร้อมรับมือ โดยใช้บทเรียนและความผิดพลาดจากอดีตเข้ามาเตรียมการรับมือและแก้ปัญหา

พร้อมเสนอแนะรัฐบาลลดอัตราภาษีนิติบุคคลเหลือ 16% เพื่อดึงเงินลงทุนจากต่างชาติ เพราะปัจจุบันฮ่องกง และสิงคโปร์มีอัตราภาษีนิติบุคคลที่ 17% หากไทยคิดภาษีต่ำกว่าจะช่วยดึงดูดการลงทุนให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาตั้งสำนักงานในไทย ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวจากการเช่าสำนักงาน และเช่าที่อยู่อาศัย จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งแม้อัตราภาษีลดลง แต่ฐานภาษีกว้างขึ้นมองว่าน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า

พร้อมกันนี้เสนอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจขนาดจิ๋วให้มีความคล่องตัวมากขึ้น โดยใช้แผนธุรกิจมาค้ำประกันได้ และควรแยกมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กออกจากกัน เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ