ศูนย์พยากรณ์เกษตร เผยสินค้าเกษตรรับผลกระทบบาทแข็ง 7.6 พันลบ.ช่วง Q1/56

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 25, 2013 18:29 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจารึก สิงหปรีชา ผู้อำนวยการศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงปลายปี 55 และ ทวีความร้อนแรงมากขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 28.63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐนั้น (ณ วันที่ 22 เม.ย.) ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าและบริการ รวมถึงการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ของไทยด้วย

ดังนั้น ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตรจึงได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบจากการแข็งค่าเงินบาทต่อภาพรวมมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ และปริมาณการส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าประมง ผลไม้ ไก่เนื้อ ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลังเพื่อประเมินมูลค่าความเสียหายในช่วงไตรมาสแรกของปี 56

สำหรับผลการวิเคราะห์ พบว่าการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ในช่วงม.ค.-มี.ค. 56 ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าเงินบาทคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 7,694.28 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.28 ของมูลค่าความเสียหายรวมในกลุ่มการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ โดยสินค้าเกษตรที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง (เดกซ์ทรินและโมดิไฟด์สตาร์ช)และสินค้าประมง

ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลต่อปริมาณการส่งออก ผลไม้ ไก่เนื้อ และมันสำปะหลัง (หัวมันสำปะหลังสดและแห้ง หรือ มันสำปะหลังอัดเม็ด)อย่างมีนัยสำคัญอีกเช่นกัน และผลการวิเคราะห์ในครั้งนี้ มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นร้อยละ 7.44 ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์มีอัตราลดลงร้อยละ 3.12 เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการส่งออกในช่วงไตรมาสเดียวกันของปี 55

ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้ ในส่วนภาครัฐควรส่งเสริมการพัฒนาการผลิตและการบริหารจัดการสินค้าเกษตรให้มีคุณภาพมาตรฐานสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่ม/การแปรรูปให้กับสินค้าเกษตร และลดต้นทุนการผลิต

อีกทั้ง เร่งรัดการบริหารจัดการเขตเกษตรเศรษฐกิจที่เหมาะสมหรือจัดทำโซนนิ่งเกษตร โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของดิน ชนิดพืชที่ปลูก และความพร้อมของระบบชลประทาน เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการผลิตกับการตลาด รวมถึงพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการระบบโลจิสติกส์การเกษตรของประเทศเชื่อมโยงกับภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคสินค้าเกษตรภายในประเทศเพื่อทดแทนการส่งออก รวมไปถึงสร้างความตระหนักในการบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานรับรอง

ในด้านผู้ส่งออกควรพัฒนาคุณภาพสินค้า โดยสร้างแบรนด์สินค้า และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Identity) ให้กับสินค้าเกษตรไทย รวมถึงยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มและเป็นที่ต้องการของตลาด

สำหรับภาครัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง ควรมีบทบาทร่วมกันในการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาท โดยแนวทางหนึ่งที่จะช่วยลดระดับผลกระทบในปัจจุบันคือ การขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ จากเดิมที่ไทยส่งออกสินค้าเกษตรไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐ ซึ่งมีปริมาณความต้องการสินค้าเกษตรลดลงอย่างต่อเนื่อง ควรส่งเสริมการทำตลาดใหม่ไปยังตลาดในกลุ่มภูมิภาคเดียวกันหรือในเขตตะวันออกกลาง เช่น สินค้าข้าว ควรเจาะตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนหรือตะวันออกกลาง และสินค้ายางพารา ควรเน้นตลาดในเอเชีย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ