ทั้งนี้ การที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาก เพราะมีเงินไหลเข้ามาลงทุนมากพอสมควร โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดพันธบัตรของนักลงทุนมูลค่ารวมกว่า 8 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินที่เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งแรงกดดันเงินบาทครั้งนี้ ไม่ได้มาจากการเกินดุลบัญชีชำระเงิน แต่มาจากเงินทุนไหลเข้า โดยมองว่า แนวโน้มเงินบาทยังจะแข็งค่าต่อไป ด้วยปัจจัย 3 ประการ คือ เศรษฐกิจที่ดีของเอเชียและอาเซียน, สภาพคล่องทั้งในสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่นที่ไหลกลับเข้ามาลงทุน รวมทั้งแรงกดดันจากการเก็งกำไรค่าเงินที่เข้ามาสมทบ
นายกอบศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ส่งออกจะต้องปรับตัว โดยการทำ Local invoicing, การกำหนด price in ในราคาที่เท่ากัน, ปรับเปลี่ยนตลาดไปยังตลาดที่ไม่ถูกกระทบจากค่าเงิน, การทำ Hedging และลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ในขณะที่ ธปท.และรัฐบาลควรดูแลเงินบาทให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค ซึ่งเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่ได้ทำให้ทุนสำรองของประเทศเพิ่มขึ้น แต่กลับลดลงด้วยซ้ำ สะท้อนว่า ธปท.ยังไม่ได้มีการแทรกแซงค่าเงิน หรือหากแทรกแซงก็ยังไม่มากเท่าที่ควร
ขณะที่นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัยสายบริหารความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบี (CIMBT) กล่าวว่า ปัญหาค่าเงินในปัจจุบัน ยังไม่รุนแรงถึงที่สุด เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลปัญหาคาบสมุทรเกาหลี หากความขัดแย้งยุติลง เงินจะไหลเข้าเอเชียมากขึ้น และระยะต่อไปนักลงทุนญี่ปุ่นจะนำเงินออกมาลงทุน คาดว่าบางประเทศจะใช้มาตรการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุน โดยเฉพาะเกาหลีใต้
ทั้งนี้ หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง แต่จะมีความเสี่ยงให้เกิดภาวะฟองสบู่ โดยคาดการณ์ว่า เงินบาทจะถูกกดดันให้แข็งค่าต่อไป และคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยลง 0.5% ในกรณีที่มีการลดดอกเบี้ย จะมีมาตรการ Prudential Measures ควบคู่ไปด้วยเพื่อป้องกันการเกิดฟองสบู่ในระบบเศรษฐกิจ และอาจมีการควบคุมเงินทุนไหลเข้า แต่จะไม่รุนแรงเหมือนปี 2549
นายพิสิทธิ์ พัวพัน ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า การบริหารนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละครั้งมีความยากลำบาก เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวต่อการค้าการส่งออกของประเทศ โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 6.6% และหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน พบว่า ค่าเงินแข็งค่าขึ้นเพียง 2% เท่านั้น
ดังนั้น ภาครัฐจึงควรใช้โอกาสนี้ในการนำเข้าวัตถุดิบสำคัญตามโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท โดยคาดว่าต้องนำเข้ามาคิดเป็นร้อยละ 40 ของการลงทุนในภาพรวม ซึ่งจะช่วยบรรเทาปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทได้ ขณะเดียวกันนักลงทุนไทยควรออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่รัฐวิสาหกิจในไทยควรใช้โอกาสนี้ชำระหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กระทรวงการคลังได้ปรับลดสิทธิในการลงทุนของต่างชาติซึ่งเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยจากเดิมที่ให้สิทธิมากกว่าคนไทยให้ได้รับสิทธิเท่าๆ กับคนไทย รวมทั้งมอบหมายให้ธนาคารในกำกับของรัฐ ทั้งธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) รวมถึงธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ในการทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า หรือ Forward contract เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนสำหรับผู้ส่งออกระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี แต่พบว่าที่ผ่านมาการทำ Forward contract ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยธนาคารกรุงไทยทำ Forward contract ให้เอสเอ็มอีได้เพียง 640 ราย วงเงิน 2,000 ล้านบาทเท่านั้น
ด้านนายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการและรักษาการประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า จากการเสวนาในวันนี้ขอเสนอมาตรการ 7 ข้อ ให้กับธปท. โดย 1.ธปท.ควรดูแลเงินบาทไม่ให้มีความผันผวนและให้สอดคล้องกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาค 2.กระทรวงการคลังหรือหน่วยงานของภาครัฐ ส่งเสริมให้ SME ทำประกันความเสี่ยง เพื่อลดค่าทำเนียมรวมถึงให้เข้าถึงแหล่งเงินที่จะเข้าไปทำประกันความเสี่ยงได้
3.ส่งเสริมให้ผู้ส่งออกเปิด LC โดยใช้สกุลเงินบาท เพื่อลดความผันผวน และส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ 4.ขอให้กระทรวงพาณิชย์ตั้งกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศช่วยเหลือผู้ส่งออก ในการขยายตลาดใหม่ๆ 5.ขอให้กระทรวงการคลังตั้งกองทุนช่วยเหลือ ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีปัญหาจากสภาพคล่องเพื่อให้เข้าถึงแหล่งทุนได้ 6.ขอให้ธปท.และกระทรวงคลัง เร่งหามาตรการเข้ามาสะกัดกั้นการเก็งกำไรของเงินไหลเข้า โดยการกำหนดมาตรการควรดูให้เหมาะสมอย่าให้กระทบต่อตลาดทุน
7.ขอให้กระทรวงการคลังทบทวนการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ในเรื่องของการชดเชยการส่งออก ในระยะสั้นนี้ด้วย
ทั้งนี้จะจัดทำข้อมูลต่างๆที่ได้จากการเสวนาในวันนี้เสนอต่อ ธปท.เป็นลำดับต่อไป