อย่างไรก็ตาม เงินบาทที่แข็งค่าไม่ได้ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุน โดยนักลงทุนยังมีความมั่นใจและลงทุนในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น แม้จะมีการขายทำกำไรออกมาบ้าง
นางรุ่ง กล่าวถึงกรณีที่ ธปท.ประเมิน GDP ปีนี้จะขยายตัวที่ 1.5% ว่า เป็นเพียงค่ากลาง ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะสูงกว่าหรือต่ำกว่า เนื่องจากในไตรมาส 2/57 ยังมีตัวชี้วัดอีกหลายตัวที่ยังไม่ออกมา ทำให้ภาพยังไม่ชัด และยังสรุปไม่ได้ ทั้งนี้ธปท.จะติดตามนโยบายของทางการที่จะออกมาเพิ่มว่าจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาคเอกชนและเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังมากน้อยแค่ไหน
"กรณีที่ผู้ว่าฯ ระบุว่า GDP ปีนี้โต 2-2.5% มีความเป็นไปได้ หากการลงทุนภาคเอกชนออกมาเร็วกว่าที่คาดไว้ การเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ และเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีกว่าที่คาด...การลงทุนภาครัฐไม่ควรช้าถึง ธ.ค.เพราะจะไม่มีผลต่อเศรษฐกิจในปีนี้ หากจะให้ GDP ปีนี้โตได้ 2.5% ในไตรมาส 3 และ 4 จะต้องขยายตัวอยู่ในช่วงไตรมาสละ 4-5%" นางรุ่ง กล่าว
นางรุ่ง กล่าวต่อว่า หากโครงการภาครัฐมีความชัดเจน โปร่งใส ตอบคำถามได้ เงินลงทุนเต็มเม็ดเต็มหน่วย จะกระตุ้นภาคเอกชนได้มาก เพราะการลงทุนภาคเอกชนถือว่ามีบทบาทสำคัญ เพราะคิดเป็นสัดส่วนถึง 70%