โดยผ่านมารัฐบาลได้มีการกระจายเม็ดเงินลงไปในหมู่บ้าน ตำบล และผ่านโครงการขนาดเล็ก ในวงเงิน 1.3-1.4 แสนล้านบาท รวมถึงยังได้อนุมัติวงเงินอีกราว 2.7 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME ที่ถือว่ามีความลำบากพอสมควร อีกทั้งยังออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อช่วยประชาชนให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ขณะที่โครงการขนาดใหญ่ หรือโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีเม็ดเงินเพิ่มอีกกว่า 6 แสนล้านบาท เป็นเงินลงทุนในปี 59-60 ซึ่งก็จะเห็นได้ว่ารัฐบาลมีความพยายามมุ่งมั่นที่จะดูแลในทุกภาคส่วน เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าไปได้ด้วยดี
ขณะเดียวกัน ก็พยายามที่จะดำเนินการในโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ ทั้งการปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ และการผ่อนคลายมาตรการทางการเงิน การคลัง เป็นต้น ซึ่งในช่วงปลายเดือนต.ค.58 ธนาคารโลก(WORLD BANK) ได้ประกาศผลการจัดอันดับจากรายงาน Doing Business ปี 2016 ประเทศที่มีความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ซึ่งประเทศไทยได้คะแนนมาอยู่ที่อันดับ 49 รองจากประเทศสิงค์โปร และมาเลเซีย ในกลุ่มประเทศอาเซียน จากปี 2015 ประเทศไทยได้ลำดับที่ 46 ซึ่งมองว่าสิ่งที่รัฐบาลได้ดำเนินการแล้วเสร็จอาจจะส่งผลไม่ทัน แต่คาดว่าปีต่อไปน่าจะถูกนำมามารวมและทำให้อันดับของประเทศดีขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินงานไปแล้ว ในเรื่องของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกในการพิจารณาของหน่วยงานราชการ ซึ่งจะมีความชัดเจนของขั้นตอน ระยะเวลา ที่หน่วยงานราชการจะต้องใช้จัดทำรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ และยังมีการแก้ไขพ.ร.บ.ล้มละลาย เพื่อให้มีขั้นตอนที่มีความโปร่งใส กระชับมากขึ้น รวมถึงมีการออกพ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ที่ได้มีการลงพระปรมาภิไธยไปแล้ว คาดว่าอีกประมาณ 7 เดือนจะมีผลบังคับใช้ อีกทั้งยังมีเรื่องของการปรับลดภาษีนิติบุคคลเป็นการถาวร ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างการเจรจากับกรมสรรพากร
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังมีการสร้าง International Headquarters and International Trade Centre เพื่อเป็นการจูงใจให้แก่บริษัทข้ามชาติเข้ามาลงทุน พร้อมกับสิทธิประโยชน์ทั้งนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา โดยล่าสุดก็ได้เสนอให้ครม.รับหลักการเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน สำหรับอุตสาหกรรมกลุ่มเป้าหมายจำนวน 10 อุตสาหกรรม ขนาดกองทุนราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างจัดทำเอกสาร คงต้องใช้ระยะเวลาอีกสักระยะหนึ่ง
"ทั้งหมดนี้ ก็เป็นฐานรองรับในอนาคตของการประกอบธุรกิจในประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าลงทุน และง่ายต่อการประกอบธุรกิจในอนาคต" รมช.คลัง กล่าว