พลเอกอนันตพร เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างสูง อาทิ การนำเข้าน้ำมันดิบและวัตถุดิบในการผลิตก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) จากแหล่งตะวันออกกลาง และการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเมียนมาร์ เป็นต้น เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากประเทศไทยมีแหล่งพลังงานที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ แม้ว่าที่ผ่านมาได้พยายามทำการสำรวจและจัดหาแหล่งพลังงานใหม่อย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม อีกทั้ง ในช่วงระหว่างวันที่ 19-28 มีนาคม 2559 นี้ จะมีการหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติแหล่งซอติกา ของประเทศเมียนมาร์ ซึ่งจะทำให้ก๊าซธรรมชาติที่ประเทศไทยนำเข้าจากประเทศเมียนมาร์หายไปบางส่วน
โดยตัวเลขในปี 2558 ประเทศไทยมีการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเมียนมาร์อยู่ที่ 923 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน คิดเป็น 18% ของปริมาณการจัดหาก๊าซธรรมชาติในประเทศไทย สำหรับการหยุดซ่อมของแหล่งซอติกาดังกล่าวจะทำให้ปริมาณการจัดหาก๊าซธรรมชาติของประเทศหายไปประมาณ 640 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานได้มีการสั่งการห้ามหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าและแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าว และเตรียมสำรองน้ำมันเตาและน้ำมันเชื้อเพลิงเต็มพิกัด รวมทั้งได้มีการตั้งคณะทำงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชาชนสามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดการขาดแคลนพลังงาน และไม่มีผลกระทบต่อประชาชนอย่างแน่นอน
สำหรับสถานการณ์ที่ต้องมีการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศดังกล่าว อาจทำให้ประเทศต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านความมั่งคงทางพลังงานหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้น ซึงอาจจะส่งผลกระทบต่อการจัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ในประเทศไทย ดังนั้น กระทรวงพลังงานได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสภาวะวิกฤตด้านพลังงานที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา จึงได้กำหนดจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการซ้อมแผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานของประเทศขึ้นทุกปี
โดยได้จำลองสถานการณ์ฉุกเฉินสมมติเพื่อเป็นการระดมความคิด วางแผน และจัดการกับปัญหา หากเกิดสถานการณ์ดังกล่าว รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว โดยมีหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงพลังงานและหน่วยงานด้านพลังงานของประเทศที่เกี่ยวข้องจำนวน 17 หน่วยงาน เข้าร่วมประชุมเพื่อซ้อมแผนและทำความเข้าใจถึงสภาวะวิกฤติต่างๆ เพื่อให้สามารถเตรียมแผนดำเนินการด้านต่างๆ รองรับสภาวะวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต อย่างไรก็ดี กลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานของประเทศอย่างยั่งยืนนั้น จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากประชาชนทุกคน โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้พลังงานและลดการใช้พลังงาน เพื่อเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในสภาวะวิกฤติทางด้านพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย