(เพิ่มเติม1) สศก.เผย GDP เกษตร Q2/59 ลดลง -1.3% สาขาพืชโดนภัยแล้งพ่นพิษหนักสุด

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 10, 2016 15:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการเกษตรไตรมาส 2/59 หดตัว -1.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยสาขาพืชรับผลกระทบจากภัยแล้งมากสุด หดตัวถึง -2.5% ส่วนสาขาประมง หดตัว -0.9% และสาขาบริการทางการเกษตร หดตัว -1.4%% ขณะที่สาขาประมง ขยายตัว 3.1% และสาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.1% ส่วนรายได้เกษตรกรไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 3.7% เนื่องจากราคาผลิตผลอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะข้าวเปลือกเจ้า ไม้ผล และปาล์มน้ำมัน

นายสุรพงษ์ เจียสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการวิเคราะห์และประมาณการภาวะเศรษฐกิจการเกษตร ไตรมาสที่ 2 (เดือนเมษายน – มิถุนายน) ของปี 2559 พบว่า การเติบโตของภาคเกษตร วัดจากปริมาณผลผลิตที่ออกสู่ตลาดในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 หดตัว 1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2558

"ปัจจัยที่เรานำมาวิเคราะห์จีดีพีภาคเกษตรเราใช้ผลผลิตสินค้าภาคเกษตรเป็นหลัก เป็นสินค้าที่ไม่ได้แปรรูป เป็นผลผลิตแท้ๆจากภาคเกษตรโดยตรง"

จากภาวะความแห้งแล้งในปี 58 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 59 ส่งผลให้ผลผลิตที่เกิดจากกระบวนการผลิตในฤดูกาลผลิตในช่วงที่ผ่านมาแล้วผลผลิตมาออกในช่วงไตรมาส 2 ของปี 59 ได้รับผลกระทบผลผลิตลดลงเป็นส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 58

โดยสาขาพืช หดตัว 2.5% เนื่องจากได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากภัยแล้ง โดยเฉพาะข้าวนาปรัง ปี 2559 ซึ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตได้รวม 1.8 ล้านตัน ลดลง 24% เมื่อเทียบกับข้าวนาปรัง ปี 2558 ที่มีผลผลิต 2.4 ล้านตัน และผลไม้ (ทุเรียน เงาะ ลิ้นจี่ ลำไย) ซึ่งผลผลิตลดลง จากสภาพอากาศแปรปรวนและภัยแล้ง ทำให้ผลไม้มีผลผลิตเป็น 397,000 ตัน หรือลดลง 40% เมื่อเทียบกับผลผลิตปี 2558 รวม 560,000 ตัน รวมทั้งผลผลิตปาล์มน้ำมันลดลง 22% (ไตรมาส 2 ปี 2559 ผลผลิตเป็น 3.2 ล้านตัน จากเดิม 4.1 ล้านตัน หรือลดลง 0.9 ล้านตัน)

สาขาปศุสัตว์ ขยายตัว 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 โดยเฉพาะไก่เนื้อ สุกร ไข่ไก่ และน้ำนมดิบ มีผลผลิตเพิ่มขึ้น 4.8% 6.6% 8.4% และ 2.1% ตามลำดับ ตามความต้องการของตลาด แม้จะประสบอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งบ้าง แต่การเลี้ยงส่วนใหญ่เป็นฟาร์มมาตรฐานระบบปิด และเกษตรกร ภาคเอกชน มีการจัดการคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ดี

สาขาประมง หดตัว 0.9% เป็นผลมาจากผลผลิตประมงทะเลลดลง โดยปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้ลดลง 12.7% แต่ผลผลิตกุ้งเพาะเลี้ยง เพิ่มขึ้น 13.8% เนื่องจากมีระบบมาตรฐานการจัดการที่ดีในกระบวนการผลิตและตรวจสอบย้อนกลับ และการจัดการปัญหาโรคกุ้งตายด่วนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สาขาบริการทางการเกษตร หดตัว 1.4% โดยการจ้างบริการเตรียมดิน ไถพรวนดิน และเกี่ยวนวดข้าวลดลง เนื่องจากพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังลดลง จากปริมาณน้ำที่ใช้การได้ในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้อย

ส่วนสาขาป่าไม้ ขยายตัว 2.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 เนื่องจากไม้ยางพารา และไม้ยูคาลิปตัส เพิ่มขึ้น โดยการขยายตัวของไม้ยางพารามีปัจจัยสนับสนุนมาจากการขยายเป้าหมายพื้นที่ตัดโค่นสวนยางพาราเก่าของ กยท. ประกอบกับไม้ยางพาราเป็นที่ต้องการของตลาดจีนอย่างมาก ขณะที่ตลาดเกาหลี จีน ไต้หวัน และ ญี่ปุ่น มีความต้องการไม้ยูคาลิปตัสสูงมาก

ทั้งนี้ หากมองถึงรายได้เกษตรกรในไตรมาสที่ 2 ปี 2559 พบว่า เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 เนื่องจากราคาผลิตผลเกษตรสำคัญที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะข้าวเปลือกเจ้า ราคา 8,100 บาทต่อตัน เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับราคาข้าวเปลือกช่วงเดียวกันของปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 7,600 บาทต่อตัน สำหรับผลไม้ (ทุเรียน ลำไย เงาะ) ราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 47.7% 43.1% และ 24.5% ตามลำดับ ราคาปาล์มน้ำมัน และสับปะรด เพิ่มขึ้น 42.3% และ 4.7% ตามลำดับ โดยปาล์มน้ำมันราคาเพิ่มขึ้นเป็น 5.3 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมราคา 3.7 บาทต่อกิโลกรัม เนื่องจากผลผลิตลดลง แต่ความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น อีกทั้งการกำหนดมาตรฐานการซื้อขายที่เป็นที่ยอมรับมากขึ้น เช่น ความต้องการข้าวต้นฤดูเพิ่มขึ้นเพื่อส่งออกเป็นข้าวนึ่งไปยังตลาดแอฟริกา การซื้อขายปาล์มน้ำมันตามเปอร์เซ็นต์น้ำมัน การควบคุมคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน ได้แก่ ไม่ตัดทุเรียนอ่อน เป็นต้น นอกจากนี้ ราคาสินค้าปศุสัตว์และสินค้าประมงยังปรับเพิ่มขึ้นด้วย

สำหรับสถานการณ์ผลผลิตสินค้าข้าว ยางพารา และปาล์มน้ำมัน เมื่อเทียบกับต่างประเทศ พบว่า ผลผลิตข้าวของไทยในรอบ 5 เดือน (มีนาคม – กรกฎาคม 2559) อยู่ที่ 3.29 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 4.66 ล้านตันข้าวเปลือก หรือลดลง 29.40% ส่วนผลผลิตข้าวของเวียดนามในรอบ 5 เดือน (มีนาคม - กรกฎาคม 2559) อยู่ที่ 19.50 ล้านตันข้าวเปลือก ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2558 ซึ่งอยู่ที่ 20.69 ล้านตันข้าวเปลือก หรือลดลง 5.75% จะเห็นได้ว่า ผลผลิตข้าวของไทยและเวียดนาม มีทิศทางลดลงเช่นเดียวกัน

ผลผลิตยางพารา (ยางแห้ง) ของไทยในไตรมาสที่ 2/2559 อยู่ที่ 0.667 ล้านตัน ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2558 ซึ่งอยู่ที่ 0.699 ล้านตัน หรือลดลง 4.61% ส่วนผลผลิตยางพารา (ยางแห้ง) ของอินโดนีเซียในไตรมาสที่ 2/2559 อยู่ที่ 0.836 ล้านตัน ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2558 ซึ่งอยู่ที่ 0.841 ล้านตัน หรือลดลง 0.59% และผลผลิตยางพารา (ยางแห้ง) ของเวียดนามในไตรมาสที่ 2/2559 อยู่ที่ 0.215 ล้านตัน คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2558

ด้านปาล์มน้ำมันของไทยในไตรมาสที่ 2/2559 อยู่ที่ 3.16 ล้านตัน ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2558 ซึ่งอยู่ที่ 4.06 ล้านตัน หรือลดลง 22.12% เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้ง ส่วนปาล์มน้ำมันของมาเลเซียในไตรมาสที่ 2/2559 อยู่ที่ 21.16 ล้านตัน ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/2558 ซึ่งอยู่ที่ 26.10 ล้านตัน หรือลดลง 18.93% เนื่องจากประสบภัยแล้งเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ จะเห็นว่าตลอดช่วงเกิดปรากฎการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะความแห้งแล้ง กระทบต่อการผลิตการเกษตรของเกษตรกรในช่วงปี 2558 จนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2559 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบหลักดูแลเกษตรกรและการเกษตรของประเทศ ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและภาคเกษตร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรจากปัญหาภัยแล้ง โดยบูรณาการกับหน่วยงานอื่น 13 หน่วยงาน/กระทรวง รวม 8 มาตรการช่วยเหลือ 45 โครงการ

"ถ้าภาครัฐไม่มีมาตรการเยียวยาหรือส่งเสริม เราคาดว่าผลผลิตน่าจะลดลงมากกว่านี้ ความเสียหายน่าจะเกิดมากกว่านี้ แล้วก็การคำนวณภาวะเศรษฐกิจน่าจะหดตัวมากกว่านี้ ทั้ง 8 มาตรการ 45 โครงการเข้าไปช่วยเกษตรกรตั้งแต่ปลายปี 58 มาจนถึงต้นปี 59 ช่วยพยุงสถานะความเป็นอยู่ของเกษตรกรได้ดีขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีมาตรการที่เกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานรัฐ เป็นมิติในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถช่วยเกษตรกรได้เยอะ"

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ดำเนินมาตรการและโครงการขับเคลื่อนการเกษตรเพื่อสร้างโอกาสในการแข่งขันตามเป้าหมายของประเทศไปสู่ความ "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ตามแนวทางประชารัฐ ควบคู่กับการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยแล้งใน 6 โครงการสำคัญ คือ

1) นโยบายลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มโอกาสในการแข่งขันสินค้าเกษตร 2) โครงการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก. 882 ศูนย์) 3) โครงการระบบส่งเสริมเกษตรแปลงใหญ่ เป้าหมาย 650 แปลงตามแนวทางประชารัฐและเกษตรสมัยใหม่ 4) โครงการเกษตรอินทรีย์ โดยใช้ยโสธรโมเดลเป็นต้นแบบ 5) โครงการธนาคารสินค้าเกษตร เช่น ธนาคารโค-กระบือ ธนาคารข้าว ธนาคารเมล็ดพันธุ์ เป็นต้น และ 6) โครงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรโดยการปรับเปลี่ยนกิจกรรมการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสมตามแผนที่ Agri-Map และในปี 2559 - 2560 จะนำแผนที่ Agri-Map ใช้เป็นเครื่องมือในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ไม่เหมาะสม กับสินค้าที่มีความสำคัญของจังหวัดไปเป็นกิจกรรมอื่น ที่เอกชน/ผู้ประกอบการในจังหวัดหรือในภูมิภาคมีความต้องการ ซึ่งได้ดำเนินการใช้แผนที่ Agri-Map ปรับเปลี่ยนกิจกรรมใน 3 จังหวัด ประกอบด้วย ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และอุทัยธานี และปี 2560 จะกระจายไปอย่างน้อย 2-3 จังหวัดในแต่ละภาค เพื่อขยายผลการใช้แผนที่ Agri-Map ร่วมกับ Single Command และผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละพื้นที่ต่อไป

ด้านนายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร คาดการณ์สถานการณ์ผลไม้เศรษฐกิจ 4 ชนิดของภาคใต้ปี 59 ได้แก่ ทุเรียน มังคุด เงาะ และลองกองนั้น ในส่วนของภาคใต้ตอนบน (ประมาณการผลผลิต 340,262 ตัน) ขณะนี้ผลไม้ทั้ง 4 ชนิด เก็บเกี่ยวไปแล้วจำนวน 63,220.95 ตัน คิดเป็น 18.58% ส่วนใต้ตอนล่าง (ประมาณการผลผลิต 110,357 ตัน) ขณะนี้ผลไม้ทั้ง 4 ชนิด เก็บเกี่ยวไปแล้วจำนวน 2,101.27 ตัน คิดเป็น 1.90%

โดยภาพรวมราคาทุเรียน มังคุด เงาะ ยังอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งหมดในทุกพื้นที่ ถือว่าปีนี้ยังเป็นปีทองของผลไม้ ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลมุ่งเน้นส่งเสริมเรื่องการปรับปรุงคุณภาพผลไม้เป็นหลัก ซึ่งตอนหลังมีมาตรการความร่วมมือกับฝ่ายปกครองออกประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคห้ามเจ้าของสวนตัดผลไม้ด้อยคุณภาพออกมาสู่ตลาดซึ่งจะมีผลกระทบทางจิตวิทยาอย่างมากต่อราคา

สำหรับการบริหารจัดการผลไม้นั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยคณะกรรมการบริหารจัดการผลไม้ ให้จังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการบูรณาการบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่โดยคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) เป็นกลไกหลักในการบริหารจัดการและกำกับดูแลและคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ เป็นแกนกลางในการบูรณาการบริหารจัดการผลไม้ในภาพรวม โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการ โดยจัดสมดุลอุปสงค์ – อุปทาน เน้นพัฒนาคุณภาพผลผลิตเป็นหลัก ส่งเสริมเกษตรกรรายย่อยให้รวมกลุ่มเพื่อผลิตไม้ผลในลักษณะแปลงใหญ่ การป้องปรามผลผลิตด้อยคุณภาพออกสู่ตลาด สนับสนุนการกระจายผลผลิต ส่งเสริมการแปรรูป ผลักดันการส่งออก รวมทั้ง ส่งเสริมการบริโภคและประชาสัมพันธ์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ