รายงานกนง. ระบุคกก.จะติดตามภาวะการเงิน-FXใกล้ชิด หลังบาทมีแนวโน้มแข็งค่ามาก อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวของศก.

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 17, 2016 10:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 3 ส.ค.59 ว่า ที่ประชุม กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน แม้ในระยะข้างหน้าจะมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปยังคงมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย ส่วนภาวะการเงินโดยรวมในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สะท้อนจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการระดมทุนโดยรวมของภาคธุรกิจและสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ยังขยายตัวได้ แม้ธุรกิจบางกลุ่มมีข้อจำกัดในการได้รับสินเชื่อ

"คณะกรรมการฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ในการประชุมครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาเงินบาทโน้มแข็งค่าขึ้น และอาจไม่เป็นผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย คณะกรรมการฯ จึงจะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจการเงินโลก รวมทั้งภาวะการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนของไทยอย่างใกล้ชิด" รายงาน กนง.ระบุ

คณะกรรมการฯ เห็นว่า การรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบาย (policy space) ไว้ใช้ในยามจำเป็นยังมีความสำคัญ เนื่องจากปัจจัยด้านต่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังเปราะบางและความไม่แน่นอนของทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลัก ทั้งนี้ แม้ปัจจัยดังกล่าวอาจจะยังไม่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจนในระยะอันใกล้ แต่สามารถส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าและเศรษฐกิจไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ จึงควรรักษา policy space ไว้เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้รุนแรงในอนาคต

นอกจากนี้ กรรมการส่วนใหญ่มองว่า ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ควรต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจสะสมมากขึ้นในระบบการเงินจากพฤติกรรม search for yield ด้วย

ในระยะต่อไป คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินยังควรอยู่ในระดับผ่อนปรนอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง โดยพร้อมจะใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อดูแลให้ภาวะการเงินโดยรวมเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ

สำหรับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ มองว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ทำได้ต่อเนื่องตามคาดและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดี ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ตามรายได้และความเชื่อมั่นของครัวเรือนในภาคเกษตรที่ปรับดีขึ้นภายหลังปัญหาภัยแล้งคลี่คลาย แต่การส่งออกสินค้ายังคงหดตัวตามเศรษฐกิจเอเชียที่ชะลอลง ประกอบกับผลของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลกและปัญหาความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของไทยบางประเภท ส่งผลให้ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม การลงทุนภาคเอกชนในภาพรวมจึงยังอยู่ในระดับต่ำแม้จะขยายตัวได้ในบางภาคธุรกิจ สอดคล้องกับการระดมทุนของภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้นแต่ยังอยู่ในระดับตำเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตและค่อนข้างกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ขณะที่ธุรกิจบางกลุ่มยังมีข้อจำกัดในการได้รับสินเชื่อ ส่วนหนึ่งจากการที่สถาบันการเงินมีแนวโน้มเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อในภาวะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป

"คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำมากขึ้นจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักขยายตัวได้ต่ำกว่าคาด และการส่งออกสินค้าหดตัวมากขึ้น" รายงาน กนง.ระบุ

อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเดือนก.ค. ทรงตัวจากเดือนก่อน สะท้อนแรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ แต่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายสอดคล้องกับการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจ แม้การกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายจะช้ากว่าที่เคยประเมินไว้เล็กน้อย เพราะแรงกดดันจากราคาพลังงานต่ำกว่าคาด

เสถียรภาพการเงินโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าเป็นห่วง แต่ยังต้องติดตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน โดยเฉพาะพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (search for yield) ในกลุ่มตราสารหนี้ที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (unrated bonds) ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ต่ำเกินไป (underpricing of risks) รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และครัวเรือนที่ยังมีแนวโน้มด้อยลง สะท้อนจากสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับภาวะตลาดการเงินนั้น ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงขึ้นภายหลังการประชุมในเดือนมิถุนายน โดยเป็นผลจาก Brexit นักลงทุนจึงเพิ่มสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย (safe-haven assets) ส่งผลให้เงินดอลลาร์ สรอ. โน้มแข็งค่าขึ้น ราคาทองคำปรับสูงขึ้น และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเทศอุตสาหกรรมหลักปรับลดลง ต่อมาในช่วงใกล้การประชุมครั้งนี้ ตลาดคลายความกังวลต่อ Brexit ลง อย่างไรก็ดี ตลาดยังคงคาดการณ์ว่าประเทศอุตสาหกรรมหลักจะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างมากเป็นเวลานานขึ้น (Low for Longer) ส่งผลให้มีเงินทุนไหลเข้าสู่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET) ปรับสูงขึ้น และเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้น สอดคล้องกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน

"คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและอัตราแลกเปลี่ยนจะยังมีแนวโน้มผันผวนในระยะต่อไป โดยเป็นผลจากความไม่แน่นอนของทิศทางการดำเนินนโยบายของประเทศอุตสาหกรรมหลักที่สามารถส่งผลในวงกว้างต่อประเทศตลาดเกิดใหม่รวมถึงไทย และความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลกที่จะยังมีความอ่อนไหวต่อเนื่องภายใต้ภาวะ Low for Longer" รายงานระบุ

ด้านภาวะเศรษฐกิจต่างประเทศ พบว่าเศรษฐกิจคู่ค้าของไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่ประเมินไว้ในการประชุมครั้งก่อน เนื่องจากผลการลงประชามติของสหราชอาณาจักรเพื่อออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป (Brexit) เป็นปัจจัยลบต่อความเชื่อมั่นและเสถียรภาพของตลาดการเงินโลก ซึ่งคาดว่าจะมีผลกระทบต่อเนื่องไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป

คณะกรรมการฯ ประเมินว่า แม้ Brexit อาจยังไม่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะสั้นมากนัก แต่ความไม่แน่นอนภายหลัง Brexit โดยเฉพาะการเจรจาข้อตกลงการค้าการลงทุนระหว่างสหราชอาณาจักรกับกลุ่มประเทศยุโรป จะมีนัยสำคัญต่อทิศทางการค้าโลกและความเสี่ยงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามปัญหาภาคการเงินในยุโรปที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินในยุโรปและมีผลต่อเนื่องมายังเอเชียผ่านช่องทางสภาพคล่องและความผันผวนในตลาดการเงิน รวมถึงความเสี่ยงในภาคการเงินจีน โดยเฉพาะความกังวลเกี่ยวกับราคาอสังหาริมทรัพย์และการระดมทุนนอกระบบธนาคาร (shadow banking) ที่ยังมีอยู่ อนึ่ง พัฒนาการทางการเมืองในต่างประเทศ อาทิความมั่นคงของการรวมกลุ่มสหภาพยุโรป และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นและแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าในระยะต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ