TMB ชี้หาก"ทรัมป์"ใช้นโยบายกีดกันการค้าทันทีกระทบส่งออกไทยปีนี้ 0.2% ราว 1.6 หมื่นลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Friday January 20, 2017 18:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี (TMB Analytics) ชี้หากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ใช้นโยบายกีดกันการค้าทันทีหลังได้รับการแต่งตั้ง ผลกระทบต่อไทยในระยะสั้นจะยังคงมีไม่มาก โดยจะส่งผลเสียต่อสินค้าเคมีภัณฑ์ ชื้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอ แต่จะส่งผลดีต่อสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และอุปกรณ์การแพทย์ รวมแล้วคิดเป็นความเสียหายสุทธิ 16,000 ล้านบาท หรือ 0.2% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยในปีนี้

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายต่างๆ ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ ว่าจะนำไปสู่การปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหน การกล่าวสุนทรพจน์ในวันรับตำแหน่งคืนนี้ จะช่วยสร้างความชัดเจนในนโยบายโดยเฉพาะในด้านการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทรัมป์มองว่านโยบายการค้าเสรีของสหรัฐฯ ที่มีมาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีรูสเวลท์ เปิดช่องให้คู่ค้าแทรกแซงค่าเงินเพื่อประโยชน์ทางการค้า และสร้างสภาวะการค้าขาดดุลกับสหรัฐฯ เฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาเป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 8 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐ โดยขาดดุลกับจีนเป็นอันดับหนึ่ง ถึง 3 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 40% ของการขาดดุลทั้งหมด (ส่วนกับไทยขาดดุลเป็นอันดับ 12 เพียง 15,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 2% เท่านั้น) ทรัมป์ จึงมองว่าการกีดกันทางการค้ากับจีน จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการ

อย่างไรก็ตาม หลังได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ กฎหมายของสหรัฐฯ มอบอำนาจที่ค่อนข้างจำกัดให้ประธานาธิบดีสามารถใช้ได้ทันทีโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาครองเกรส โดยหากยึดตามกฏหมายการค้า (Trade Act of 1974, section 122) ประธานาธิบดีสามารถตั้งกำแพงภาษีนำเข้ากับประเทศที่มีการขาดดุลในปริมาณมาก สูงสุดที่ 15% และ/หรือกำหนดโควต้า เป็นเวลาสูงสุด 150 วันเท่านั้น ไม่ใช่ที่ 45% ตามที่ได้กล่าวไว้ตอนหาเสียง ดังนั้นผลกระทบที่แท้จริง หากทรัมป์ตัดสินใจใช้มาตรการดังกล่าวทันที จึงอาจไม่มากนักเหมือนที่หลายฝ่ายกังวล

ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองว่าผลกระทบต่อการส่งออกไทยจะเป็นในทางอ้อม จากการที่สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีกับจีน ซึ่งจะกระทบสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่การอุปทานที่ไทยส่งไปจีน และจีนส่งต่อไปสหรัฐฯ โดยสินค้าดังกล่าวเป็นประเภทวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง ได้แก่ เคมีภัณฑ์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และสิ่งทอเป็นหลัก คาดการณ์มูลค่าส่งออกลดลง 0.6% หรือ ประมาณ 49,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวมีผลดีเช่นกัน กล่าวคือ การที่สินค้าของจีนถูกกีดกัน สินค้าไทยในประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียง ย่อมมีโอกาสมาทดแทนสินค้าจีนนั้นๆ ได้ ซึ่งหลักๆ เป็นประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และอุปกรณ์การแพทย์ คาดการณ์มูลค่าส่งออกจะเพิ่มขึ้น 0.4% หรือประมาณ 33,000 ล้านบาท

"ดังนั้น หากชั่งน้ำหนักผลกระทบทั้งสองด้านแล้ว พบว่าส่งออกไทยจะเสียหายเล็กน้อยที่ 0.2% ทำให้มูลค่าส่งออกในปีนี้ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวได้ 1.5% เหลือ 1.3%" บทวิเคราะห์ระบุ

ทั้งนี้ ในระยะยาวเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ จะตั้งกำแพงภาษีได้สูงถึง 45% หากสภาครองเกรสมีมติเห็นชอบกับนโยบายดังกล่าว และทำให้ผลกระทบกับไทยอาจสูงขึ้นกว่าประมาณการณ์ ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรปรับตัวด้วยกลยุทธ์ต่างๆ อาทิ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างการผลิต การย้ายฐานไปในทำเลที่ได้เปรียบเชิงภาษี หรือหาวิธีเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และให้ความสำคัญกับตลาดในภูมิภาค โดยภาครัฐควรเร่งเจรจาส่งเสริมการค้าระหว่างภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะการรวมกลุ่ม RCEP (ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของอาเซียน)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ