นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า กรมฯเตรียมเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในเดือนส.ค.เพื่อปรับเปลี่ยนสำรองน้ำมันตามกฏหมายให้มีความเหมาะสม โดยปรับลดสำรองน้ำมันดิบเหลือ 5% จากปัจจุบันที่โรงกลั่นน้ำมันจะต้องสำรองน้ำมันดิบ 6% ของปริมาณการค้าประจำปี และปรับเพิ่มสำรองน้ำมันสำเร็จรูปเป็น 2% จากปัจจุบันที่ผู้ค้าน้ำมันจะต้องสำรองในระดับ 1% ของปริมาณการค้า โดยจะใช้เกณฑ์ดังกล่าวไปจนกว่าผลการศึกษาที่ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาพิจารณาเรื่องต้นทุนและผลกระทบโดยรวมจะเสร็จสิ้นในต้นปี 62
สำหรับการปรับลดสำรองน้ำมันดิบของโรงกลั่นน้ำมันในครั้งนี้ จะยังไม่มีผลต่อทิศทางราคาน้ำมัน เพราะในช่วงที่รัฐบาลได้ปรับขึ้นสำรองน้ำมันดิบจาก 5% เป็น 6% นั้นทางราชการไม่ได้นำต้นทุนที่เพิ่มมาบวกในโครงสร้างราคาน้ำมันแต่อย่างใด แต่หากลดปริมาณสำรองน้ำมันดิบต่ำกว่าระดับ 5% ก็จะมีผลต่อต้นทุน ซึ่งจะต้องรอผลการศึกษาอย่างเป็นทางการและรอความเห็นของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ควบคู่ไปด้วยทำให้การปรับลดปริมาณสำรองน้ำมันดิบครั้งนี้จะยังไม่มีผลต่อโครงสร้างราคาน้ำมัน
"เมื่อสถานการณ์การค้าน้ำมันโลกเปลี่ยนแปลง สามารถสั่งซื้อน้ำมันจากแหล่งอื่นได้เพิ่มขึ้นไม่ได้จำกัดหลัก กับทางกลุ่มโอเปก หรือมาจากตะวันออกกลางจุดเดียวเหมือนในอดีต ดังนั้น จึงต้องทบทวนให้เหมาะสม โดยจะดูถึงความมั่นคง ต้นทุนพลังงานต่าง ๆ การแข่งขันในภาพรวมซึ่งจะใช้ข้อมูลทั้งในและต่างประเทศมาประกอบด้วย"นายวิฑูรย์ กล่าว
อนึ่ง ก่อนหน้านี้รมว.พลังงาน ระบุว่ากรมธุรกิจพลังงาน อยู่ระหว่างการพิจารณาลดปริมาณสำรองน้ำมันดิบตามกฎหมายจากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 6% เหลือ 5% เพื่อหวังลดภาระของโรงกลั่นน้ำมันในช่วงที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง และอาจจะกระทบต่อราคาน้ำมันขายปลีกได้ หลังผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายมองว่ามีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในปีนี้จะยืนทรงตัวสูงที่ราว 70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่การสำรองน้ำมันดิบตามกฎหมายเดิมกำหนดไว้ที่ระดับ 5% แต่มาเพิ่มเป็น 6% เมื่อปี 55 หลังเกิดสถานการณ์นิวเคลียร์ในอิหร่าน ซึ่งการปรับเพิ่มปริมาณสำรองน้ำมันในครั้งนั้น ทำให้โรงกลั่นน้ำมันมีต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 16 สตางค์/ลิตร และกลุ่มโรงกลั่นและผู้ค้าน้ำมันก็ไม่ได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในช่วงดังกล่าว