ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คาดกนง.คงดอกเบี้ยจนถึงสิ้นปีนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อยังต่ำ จับตาผลกระทบข้อพิพาทการค้าต่อศก.ไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 14, 2018 14:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ในการประชุมในวันที่ 19 กันยายนนี้ แม้ว่าพัฒนาการของการเติบโตทางเศรษฐกิจจะสนับสนุนถึงทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และปัจจัยความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายในตลาดเกิดใหม่ ทำให้ความจำเป็นในการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงนี้ยังมีไม่มาก

โดยการขยายตัวของจีดีพีไตรมาส 2/2561 บ่งชี้ถึงบทบาทของภาคเศรษฐกิจในประเทศที่เป็นปัจจัยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทั้งเครื่องชี้การบริโภคและการลงทุนที่เริ่มมีสัญญาณบวกต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยสามารถรักษาโมเมนตัมการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ต่อเนื่อง คงจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้คณะกรรมการนโยบายการเงินอาจจะพิจารณาถึงความเหมาะสมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระยะต่อไป

ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อยังจำกัด โดยเฉพาะแรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากฝั่งของอุปสงค์ ทั้งนี้ แม้ว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะขยับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ แต่ทว่าเงินเฟ้อพื้นฐานที่กำลังซื้อของประชาชนได้ดีกว่ายังคงเคลื่อนไหวในระดับค่อนข้างต่ำ และอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะที่การฟื้นตัวของภาคการบริโภคจะสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อของไทยโดยเฉพาะในฝั่งอุปสงค์ นอกจากนี้ คาดการณ์ของเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ายังไม่มีสัญญาณในการปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อยังมีไม่มากในปัจจุบัน

นอกจากนี้ เสถียรภาพต่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่ง ทำให้ความเสี่ยงต่อการไหลออกอย่างรวดเร็วของเงินทุนอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจต่างประเทศของไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดี ท่ามกลางการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกิดดุลในระดับสูงและระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับต้นๆ ในกลุ่มของประเทศตลาดเกิดใหม่ ทำให้ค่าเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพ อันจะเห็นได้จากการเข้าซื้อตราสารหนี้สุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดพันธบัตรไทย ด้วยสภาวะดังกล่าว การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในช่วงนี้ อาจจะส่งผลให้ประเทศไทยดึงดูดเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้นและกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่แข่งทางการค้าได้ ซึ่งเมื่อเทียบกับ หลายๆ ประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ที่เผชิญกับการไหลออกของเงินทุน และกดดันให้ค่าเงินอ่อนค่า ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อปรับขึ้น ทำให้ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้อาจจะไม่มีทางเลือกในการดำเนินนโยบายการเงินมากนัก นอกจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงต่ำที่จะเผชิญกับภาวะดังกล่าว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จุดสนใจของตลาดคงอยู่ที่จังหวะเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ท่ามกลางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อีก 2 ครั้งในปีนี้ซึ่งจะทำให้เงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อาจทวีความแรงมากขึ้น ส่งผลต่อความผันผวนของค่าเงินในภูมิภาคแต่จากปัจจัยเสถียรภาพภายนอกประเทศที่ยังแข็งแกร่งของไทยทำให้ความเสี่ยงที่เงินทุนไหลออกอย่างรวดเร็วยังจำกัด ประกอบกับทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้น่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังมีไม่มาก

"มองว่า กนง. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไปจนถึงสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ สำหรับประเด็นผลกระทบจากข้อพิพาททางการค้าที่ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า คงเป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้ กนง. ยังคงระมัดระวังในการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน เพื่อรอติดตามพัฒนาการของปัจจัยดังกล่าวอย่างใกล้ชิด" ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ