(เพิ่มเติม) ผู้ว่า ธปท.ย้ำไม่กังวลเงินเฟ้อปีนี้หากหลุดกรอบล่าง เหตุประชาชนยังจับจ่ายใช้สอยเป็นปกติ-เศรษฐกิจโตตามศักยภาพ

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 10, 2019 12:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ธปท.ไม่กังวลว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้อาจจะหลุดกรอบล่างของตัวเลขคาดการณ์ที่ 1-4% เนื่องจากประชาชนยังคงจับจ่ายใช้จ่ายเป็นปกติ และเศรษฐกิจไทยยังเติบโตสอดคล้องกับศักยภาพ พร้อมระบุว่า ธปท.มีเครื่องมือดูแลเศรษฐกิจหากสถานการณ์ในประเทศไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า การที่อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับต่ำที่ประมาณ 1% แต่คนยังมองว่าของไม่ถูก โดยปัจจัยที่ถ่วงน้ำหนักให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำอยู่ที่สินค้าเทคโนโลยีค่อนข้างมาก เช่น โทรศัพท์มือถือ ทีวีจอแบน ซึ่งแม้สินค้าเหล่านี้จะไม่ใช่สินค้าที่ประชาชนจับจ่ายใช้สอยทุกวัน แต่ก็อยู่ในตะกร้าที่ต้องนำมาคำนวณเงินเฟ้อเช่นกัน

แม้อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับใกล้เคียงหรือต่ำกว่ากรอบล่างของเป้าหมายนโยบายการเงิน แต่ก็ยังไม่น่ากังวล เพราะตราบใดที่เศรษฐกิจยังสามารถขยายตัวได้ การบริโภค การจ้างงาน การลงทุนยังขยายตัว ไม่ได้มีสัญญาณว่าเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกว่าปกตินี้จะทำให้พฤติกรรมของประชาชนเปลี่ยนไปจนทำให้ชะลอการจับจ่ายใช้สอย โดยอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำส่วนหนึ่งมาจากราคาพลังงานในตลาดโลก ซึ่งเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุม

"เมื่อพิจารณาแล้ว เงินเฟ้อที่ต่ำอยู่ในกรอบล่าง ก็ไม่ได้มีความกังวลมาก ซึ่งในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อนั้น ธปท.ให้ความสำคัญกับเพดานหรือกรอบบนมากกว่า เพราะถ้าเมื่อใดก็ตามที่เงินเฟ้อสูงกว่ากรอบเพดานจะมีผลกระทบกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะเงินเฟ้อที่สูงมาก จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน ทั้งศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และปัญหาด้านสังคมตามมา ซึ่งเราให้น้ำหนักตรงนี้มากกว่า" ผู้ว่าธปท.ระบุ

นายวิรไท ยังกล่าวถึงการกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงินระยะกลาง หรือกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อว่า ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มมองเป้าหมายเงินเฟ้อแบบที่มีความยืดหยุ่น (Flexible inflation targeting มากขึ้นในหลายมิติ ทั้งการทำเป้าหมายเงินเฟ้อในรูปแบบของ Range target แทนที่จะเป็น Point target และให้ระยะเวลาในการกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อนานขึ้น

นอกจากนี้ ทุกธนาคารกลางในโลกต่างตระหนักดีว่าพัฒนาการของเงินเฟ้อมีการเปลี่ยนแปลงไปมากจากปัจจัยในเชิงโครงสร้าง จากพัฒนาการด้านเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อสินค้าต่างๆ ที่เห็นได้ชัดคือ ราคาพลังงาน ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก

ผู้ว่าธปท. กล่าวว่า แม้ขณะนี้เสถียรภาพระบบการเงินของไทยจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่หากพิจารณาให้ลึกลงไปก็ยังไม่สามารถวางใจได้เต็มที่นัก เนื่องจากยังมีพฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินงานของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่เปรียบเสมือนเป็นธนาคารเงาขนาดใหญ่ในระบบการเงินไทย, การออกพันธบัตรที่ไม่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ, การแข่งขันของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจขนาดใหญ่, การให้สินเชื่อแบบมีเงินทอนในภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณให้เห็นว่ามีการประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในระบบการเงิน จึงทำให้ยังไม่สามารถวางใจได้เต็มที่นักกับเสถียรภาพระบบการเงินของไทย

"พอเสถียรภาพระบบการเงินไม่เกิดปัญหา ทุกคนก็จะไม่รู้สึกว่ามันสำคัญ แต่พอรู้สึกว่าเสถียรภาพมีปัญหา มันก็จะช้าไปแล้ว ดังนั้นมาตรการการดูแลเสถียรภาพจะต้องทำล่วงหน้า เป็นมาตรการเชิงป้องกัน เราจึงไม่ควรวางใจ หรือวางใจได้ไม่เต็มที่นัก เพราะไม่ใช่ข้อมูลตัวเลขที่ทำให้กังวล แต่พฤติกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบการเงินเป็นสัญญาณที่ให้เห็นว่ามีการประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในระบบการเงิน มี NPL ในสินเชื่อที่อยู่อาศัย แข่งขันปล่อยสินเชื่อแบบเกินพอดี ดังนั้นการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน ต้องใช้มาตรการหลายอย่างเข้ามาดูแลร่วมกัน ทั้ง Micro Prudential, Macro Prudential และมีนโยบายการเงินในภาพใหญ่ที่ต้องสอดคล้องกัน" นายวิรไท กล่าว

พร้อมระบุว่า สิ่งที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คำนึงถึงและให้ความสำคัญคือการป้องกันไม่ให้ผลข้างเคียงจากการที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำต่อเนื่องนาน มาสร้างความเปราะบางและเป็นปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจการเงินไทยในอนาคต

นายวิรไท กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตชะลอลง และมีความเสี่ยงในด้านต่ำเพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้ ธปท.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ราว 4% แต่ยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับศักยภาพ อย่างไรก็ดี ธปท.พร้อมจะใช้เครื่องมือต่างๆ ทางการเงินเข้ามาดูแล หากเห็นว่าความเสี่ยงมีแนวโน้มจะเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

"นี่เป็นหลักที่ กนง.ใช้แนวนโยบาย Data Dependent เพราะเราเป็นประเทศเศรษฐกิจเปิดขนาดเล็ก ซึ่งปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย...คิดว่าเรามีเครื่องมือที่สามารถใช้ดูแลระบบเศรษฐกิจได้ ถ้ามันไม่เป็นไปตาม Baseline ที่เราคาดการณ์ไว้" ผู้ว่าฯ ธปท.กล่าว

ทั้งนี้ การใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะยังมีความเหมาะสมในระยะข้างหน้า และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจะไม่เป็นไปอย่างต่อเนื่องดังเช่นในอดีต ซึ่ง กนง.จะมีการประเมินสถานการณ์ตามพัฒนาการของข้อมูลเป็นสำคัญ ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาประกอบการดำเนินนโยบายทางการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ