กรอ.พาณิชย์ ตั้งวอร์รูมติดตามสงครามการค้า-ทำแผนเชิงรุกส่งออกระยะเร่งด่วน ยังไม่ทบทวนเป้าส่งออก 3%

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 14, 2019 17:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์) โดยที่ประชุมได้หารือประเด็นสำคัญ ได้แก่ การพิจารณาแนวทางรับมือสงครามการค้า (Trade War) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่ยืดเยื้อและส่งผลกระทบทั่วโลก การผลักดันการส่งออกของไทย การส่งเสริมการค้าชายแดน รวมทั้งรับฟังข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ในประเด็นต่างๆ ที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยส่งเสริมและสนับสนุน

ทั้งนี้ ที่ประชุม กรอ.พาณิชย์ เห็นชอบตั้งทีมวอร์รูม (War Room) ทำหน้าที่ติดตามสถานการณ์สงครามการค้าและเสนอแนวทางรับมืออย่างทันท่วงที ซึ่งจะประกอบด้วย คณะที่ปรึกษาที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ และคณะทำงาน รวมทั้ง คณะทำงานด้านกฎระเบียบ ทำหน้าที่รวบรวมและจัดลำดับความสำคัญของประเด็นปัญหาด้านกฎระเบียบต่างๆ นำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณา โดยต้องการให้รายงานตรงมีความว่องใว และจัดทำแผนการดำเนินการต่อไป

นอกจากนี้ ได้ให้ตั้งคณะทำงานเจาะตลาดรายสินค้า บริการ และรายตลาด เพื่อเป็นเวทีให้ภาครัฐและเอกชนหารือเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางการปรับตัวให้สอดรับกับการแข่งขันในภาวะที่ตลาดโลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เรื่องการเจาะตลาดเร่งด่วนนั้นถือเป็นวาระสำคัญ เช่นตลาดใกล้บ้าน CLMV กำพูชา ลาว มาเลเซีย เวียดนาม เป็นต้น เพราะถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพ ตลอดจนด้านตลาดจีน อินเดีย อาเซียน และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะตะวันออกกลางที่ยังสามารถฟื้นมาใหม่ เพราะเคยเป็นคู่ค้าข้าวที่สำคัญของไทย รวมทั้งจอร์แดน กาตาร์ คูเวต เป็นต้น โดยที่ประชุมกำหนดให้มีคณะทำงานขึ้นมาเจาะตลาดรายสินค้า

ส่วนเรื่องการค้าชายแดน จะดำเนินการให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นแม่งาน เน้นหารือและหาข้อเสนอร่วมเอกชนและรับฟังข้อเสนอของเอกชนที่เสนอเปิดด่านชายแดนหลายแห่ง ส่วนอุปสรรคต่อการส่งเสริมการค้า จะได้ดำเนินการหารือฝ่ายเกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งการเสนอขยายเวลาเปิดด่านด้วย ซึ่งจะได้นำไปเจรจาเวทีร่วมระหว่างแต่ละประเทศชายแดนเร็วๆ นี้

"ภาคเอกชนได้เสนอให้เปิดด่านการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น เช่น ด่านสิงขร ด่านบ้านห้วยต้นนุ่น ด่านช่องอานม้า ด่านบ้านท่าเส้น และด่านช่องสายตะกู ซึ่งรับที่นำไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และยังมีแผนที่จะทะลวงด่านค้างท่อ เช่น ด่านแม่สอด ที่ปัจจุบันสะพานแม่สอดแห่งที่ 2 สร้างเสร็จแล้ว แต่ยังไมได้เปิดให้ขนส่งสินค้าระหว่างไทย-เมียนมา และด่านสะเดา 2 ที่ยังติดปัญหาถนนเชื่อมต่อไทย-มาเลเซีย ก็จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาต่อไป" รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ระบุ

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสถานการณ์สงครามทางการค้า ประเทศไทยควรใช้จุดแข็งในฐานะการเป็นฐานการผลิตที่มีศักยภาพและได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งสงครามการค้าที่ยืดเยื้อนี้ ทำให้บริษัทต่างๆ พิจารณาการลงทุนในประเทศที่สามเพื่อลดความเสี่ยง ประเทศไทยจึงต้องมุ่งกำหนดวัตถุประสงค์การดึงดูดการลงทุนในแต่ละสาขาให้ชัดเจน ให้เอื้อต่อการสร้างห่วงโซ่อุปทานและอุตสาหกรรมของเราเอง ตลอดจนประเมินความพร้อมระบบนิเวศน์ (ecosystem) และปัจจัยที่จำเป็นในการดึงดูดการลงทุน ซึ่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าการลงทุน และพัฒนาเศรษฐกิจของไทยต่อไป

ด้านสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้วางแนวทางรับมือสงครามการค้า 4 ด้าน ตามนโยบาย รมว.พาณิชย์ ได้แก่ 1) ด้านการรับมือการเบี่ยงเบนการค้า อาทิ การเฝ้าระวังการไหลทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ สอดส่องป้องกันการสวมสิทธิ์ 2) ด้านการตลาดและการส่งออก อาทิ บริหารจัดการตลาดส่งออก กระจายตลาด รุกตลาดเมืองรอง ส่งเสริมการค้าออนไลน์ เจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) สร้างแบรนด์ ส่งเสริมการค้าชายแดน ปรับโครงสร้างการส่งออกของไทยเปลี่ยนจากส่งออกสินค้าขั้นต้น/ขั้นกลางเป็นสินค้าขั้นสุดท้ายที่มีมูลค่าเพิ่ม

3) ด้านการเจรจา เร่งการเจรจาความตกลงการค้าและการลงทุน (FTAs) และกระชับความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnerships) ตลอดจนการบริหารความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยต้องพิจารณาหลายมิติประกอบกัน เช่น เศรษฐกิจการค้า ภูมิรัฐศาสตร์ ความมั่นคง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ 4) ด้านการลงทุน ปรับนโยบายการลงทุนให้เน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานของไทย ผลักดันให้มีการนำสินค้าไทยร่วมไปกับการลงทุนขาออก

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ได้กำหนดให้มีการจัดประชุม กรอ.พาณิชย์ ทุก 1 เดือน เพื่อติดตามงานของคณะทำงานที่ได้จัดตั้งขึ้น และมั่นใจว่าหากสามารถผลักดันมาตรการต่างๆ ให้เดินหน้าได้ เชื่อว่าจะผลักดันให้ตัวเลขการส่งออกขยายตัวได้เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี ที่ประชุมวันนี้ ไม่ได้พิจารณาเป้าหมายส่งออกของไทยปีนี้ที่ตั้งไว้ 3% เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่เวทีพิจารณาเป้าหมายการส่งออก แต่เป็นเวทีหามาตรการเพื่อสนับสนุนการส่งออกให้ไปต่อได้ และให้มีผลลัพธ์ดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าการเร่งรัดการส่งออก เป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ แต่การทำคนเดียวคงไม่พอ ต้องทำร่วมกับภาคเอกชนซึ่งเป็นทัพหน้า และยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่สถานการณ์ไม่ปกติ เพราะมีสงครามการค้าก็ยิ่งต้องทำให้เข้มข้นขึ้นเพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ