อนุฯ EEC เล็งชง ครม.เห็นชอบโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ-จัดการทรัพยากรน้ำปี 63-80 วางแผนระยะสั้นรับมือภัยแล้ง

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 23, 2020 18:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

อนุฯ EEC เล็งชง ครม.เห็นชอบโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ-จัดการทรัพยากรน้ำปี 63-80 วางแผนระยะสั้นรับมือภัยแล้ง

นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบริหารการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) ครั้งที่ 1/2563 โดยได้รับทราบและพิจารณาความก้าวหน้าการดำเนินงานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ในส่วนของแผนบริหารจัดการน้ำใน EEC : แก้ระยะสั้น วางแผนระยะยาวให้ยั่งยืน โดยที่ประชุม กบอ.รับทราบสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้เสนอโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ และการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ปี 2563-2580) ต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ในการประชุมครั้งที่ 3/2562 วันที่ 20 ธันวาคม 2562 ซึ่ง กนช.ได้มีมติเห็นชอบ และจะได้เสนอต่อ ครม.ต่อไป

อนุฯ EEC เล็งชง ครม.เห็นชอบโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ-จัดการทรัพยากรน้ำปี 63-80 วางแผนระยะสั้นรับมือภัยแล้ง

รมว.คลัง ยืนยันว่า แม้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 จะยังไม่มีผลบังคับใช้ แต่จะไม่กระทบกับการลงทุนใน EEC เพราะส่วนใหญ่การลงทุนดังกล่าวจะมาจากการร่วมทุนตามแผน PPP ซึ่งจะมีเม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นจากภาคเอกชน

"แผนในระยะสั้นใน EEC ก็มีเอกชนเดินหน้าโครงการก่อนได้ เพราะเป็นเรื่องที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนแผนลงทุนในระยะยาวนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบมาก สามารถวางแผนบริหารจัดการได้ก่อน และเมื่องบประมาณมาก็สามารถเดินหน้าลงทุนได้ทันที ดังนั้นจึงไม่สะดุดแน่นอน" รมว.คลังกล่าว

สำหรับมาตรการระยะสั้นเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งปี 2563 ในการประชุมร่วมกันระหว่าง สทนช. สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้สรุปสถานการณ์น้ำในจังหวัดระยองและฉะเชิงเทรามีใช้เพียงพอ ส่วนจังหวัดชลบุรีมีความต้องการน้ำเพิ่มเล็กน้อย ประมาณ 5-6 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังและทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพื่อลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำ โดยเตรียมโครงการเพิ่มเติม ดังนี้

1.ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดทำแผนใช้น้ำลดลง 10% ช่วงเดือน มกราคม-มิถุนายน 2563

2.วางมาตรการเพิ่มปริมาณน้ำ หากฝนตกล่าช้าจากปกติเดือนมิถุนายน สทนช. ได้วางโครงการเพื่อลดความเสี่ยง ดังนี้

1) โครงการสูบน้ำกลับคลองสะพาน มายังอ่างเก็บน้ำประแสร์ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 20 ล้านลูกบาศก์เมตร โดย บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) ประสานกับกรมชลประทาน เร่งดำเนินการ

2) โครงการสูบน้ำคลองหลวง ณ จุดพานทองเข้ากับท่อส่งน้ำคลองพระองค์ไชยานุชิต - บางพระ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 70 ล้านลูกบาศก์เมตร โดย EASTW ประสานกับกรมชลประทาน เร่งดำเนินการ

3) โครงการผันน้ำอ่างเก็บน้ำประแกด (ลุ่มน้ำวังโตนด) จ.จันทบุรี มายังอ่างเก็บน้ำประแสร์ คาดว่าจะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 70 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยต้องเจรจาค่าน้ำกับคณะกรรมการลุ่มน้ำคลองวังโตนด หากดำเนินการเสร็จทั้ง 3 โครงการ จะมีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 160 ล้านลูกบาศก์เมตร

ขณะที่การบริหารจัดการน้ำระยะยาวให้เพียงพออย่างดี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยสทนช. ได้จัดทำแผนบริหารจัดการน้ำของปี 2563 – 2580 ภายใต้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำและการจัดการทรัพยากรน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (ปี 2563 – 2580)

1. การพัฒนาและจัดการน้ำต้นทุน วงเงิน 52,797 ล้านบาท

1.1 แผนการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน (Supply Side Management) 38 โครงการ วงเงิน 50,691.10 ล้านบาท เช่น สร้างอ่างเก็บน้ำ คลองวังโตนด อ่างเก็บน้ำ คลองโพล้ และพัฒนาระบบสูบกลับคลองสะพาน - อ่างเก็บน้ำประแสร์ เป็นต้น

1.2 แผนการบริหารจัดการด้านความต้องการใช้น้ำ (Demand Side Management) 9 โครงการ วงเงิน 1,927.15 ล้านบาท เช่น แผนการบริหารจัดการลดน้ำสูญเสีย การประปาส่วนภูมิภาค สาขาต่าง ๆ ปรับระบบการเพาะปลูก เป็นต้น

1.3 มาตรการอื่นๆ การศึกษาจัดทำฐานข้อมูลพัฒนาน้ำบาดาล 3 โครงการ วงเงิน 178.99 ล้านบาท

2. การผลิตน้ำจืดจากทะเล (Desalination) เตรียมพิจารณาการลงทุนในอนาคต

ทั้งนี้ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนในพื้นที่ EEC คือ จะมีความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ มีน้ำต้นทุนเพียงพอต่อความต้องการทุกภาคส่วนจนถึงปี 2580 สามารถป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ชุมชน ที่อยู่อาศัย พื้นที่เศรษฐกิจแหล่งท่องเที่ยว และสถานประกอบการต่างๆ มีน้ำคุณภาพดีที่ส่งผลดีต่อสุขภาพสุขภาพประชาชน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจด้านการผลิต และการบริหาร

นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการจัดหาพลังงานสะอาด (พลังงานแสงอาทิตย์) ในเขต EEC นั้น ที่ประชุม กบอ. เห็นชอบหลักการตามที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) นำเสนอ โดยมีแนวทางดังนี้

1. ศึกษา พัฒนา ลงทุนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานหมุนเวียนรูปแบบอื่น ๆ และระบบกักเก็บพลังงาน ในพื้นที่อีอีซี และส่วนขยาย ให้เป็นสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อบรรลุเป้าหมายสัดส่วนเชื้อเพลิงฟอสซิล ต่อพลังงานแสงอาทิตย์ ผลิตไฟฟ้าเป็น 70 : 30

2.เร่งรัดการลงทุน ร่วมกับภาคเอกชน ให้มีการผสมผสานระหว่างการเกษตร และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่น้อยกว่า 500 เมกะวัตต์ จำหน่ายในพื้นที่ EEC

3. สนับสนุนองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ออกแบบระบบ วางแผน สร้างกลไกคาร์บอนเครดิต สู่ระบบการซื้อขายสิทธิการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และระบบซื้อขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจระหว่างผู้ประกอบการในพื้นที่ มุ่งสู่การเป็น Zero Carbon City และพื้นที่สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment)

4. ศึกษาความเหมาะสม และพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน ร่วมกับระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ช่วยรักษาเสถียรภาพ และบริหารความต้องการไฟฟ้าสูงสุดช่วงเวลากลางคืน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ