สศก. คาด GDP ภาคเกษตร Q1/63 หดตัว -4.8% คาดทั้งปีโต 0.3% ผลกระทบภัยแล้ง-โควิด-19

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 23, 2020 14:47 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เผยภาวะเศรษฐกิจการเกษตรในช่วงไตรมาส 1 ปี 2563 (ม.ค.-มี.ค.) หดตัวลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2562 โดยสาขาพืช สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร หดตัวลง ขณะที่สาขาปศุสัตว์และสาขาป่าไม้ยังคงขยายตัว สาเหตุหลักมาจากสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง ผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19

โดยสาขาพืชหดตัวลดลง 7.3% จากผลผลิตข้าวนาปรัง อ้อยโรงงาน และมันสำปะหลัง ลดลง เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งที่รุนแรง ทำให้ผลผลิตเสียหาย และมีปริมาณน้ำไม่เพียงพอสำหรับการเพาะปลูกและการเติบโตของพืช ส่งผลให้ผลผลิตต่อไร่ลดลง โดยผลผลิตพืชที่สำคัญของไตรมาส 1 ได้แก่ ข้าวนาปรัง มีเนื้อที่เพาะปลูกลดลงจากปีที่ผ่านมา 41.2% ผลผลิตลดลง 41.6% อ้อยโรงงาน ผลผลิตลดลง 12.7% และมันสำปะหลัง มีผลผลิตลดลง 5.4% นอกจากนี้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ สับปะรดโรงงาน ปาล์มน้ำมัน และลำไย มีผลผลิตลดลงเช่นกัน เนื่องจากภาวะภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วง ส่งผลให้ต้นพืชไม่สมบูรณ์ ผลผลิตน้อย และคุณภาพลดลง

สาขาปศุสัตว์ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 3.8% จากปริมาณความต้องการบริโภคทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกษตรกรขยายการผลิต ประกอบกับประเทศไทยมีการเฝ้าระวังควบคุมโรคระบาดอย่างเข้มงวด ตลาดต่างประเทศมีความเชื่อมั่น โดยเฉพาะผลผลิตไก่เนื้อที่ตลาดส่งออกหลัก เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และจีน มีความต้องการนำเข้าเพิ่มขึ้น ผลผลิตสุกรมีความต้องการบริโภคในประเทศและการส่งออกเพิ่มขึ้น โดยราคาสุกรที่ปรับตัวสูงขึ้นจูงใจให้เกษตรกรขยายการผลิต ผลผลิตไข่ไก่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเกษตรกรมีการจัดการฟาร์มที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อการออกไข่ของแม่ไก่ และน้ำนมดิบเพิ่มขึ้น เนื่องจากการบริหารจัดการฟาร์มที่ดี และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต

สาขาประมง หดตัวลดลง 2.2% ประมงทะเล ปริมาณสัตว์น้ำที่นำขึ้นท่าเทียบเรือในภาคใต้ลดลง เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ส่วนปริมาณกุ้งทะเล (เพาะเลี้ยง) ลดลง เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้ง และการเฝ้าระวังโรคระบาด ทำให้เกษตรกรปรับลดพื้นที่เลี้ยง ลดจำนวนลูกพันธุ์ และชะลอการลงลูกกุ้ง ทำให้ผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ส่วนประมงน้ำจืดมีผลผลิตลดลง โดยเฉพาะปลานิลและปลาดุก เนื่องจากภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้นในแหล่งผลิตสำคัญ ประกอบกับปริมาณน้ำในเขื่อนและแหล่งน้ำตามธรรมชาติไม่เพียงพอต่อการเลี้ยง ทำให้ผู้เลี้ยงปลาน้ำจืดทั้งในบ่อดินและในกระชังตามแหล่งน้ำธรรมชาติลดเนื้อที่เลี้ยงปลาลง มีการปล่อยลูกปลาในอัตราน้อยกว่าปกติ หรือชะลอการเลี้ยงออกไป ส่งผลให้ผลผลิตประมงน้ำจืดลดลง

สาขาบริการทางการเกษตร หดตัวลดลง 1.3% เนื่องจากไตรมาส 1 เป็นช่วงการจ้างบริการเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ทางการเกษตรในการเก็บเกี่ยวข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน โดยมีพื้นที่เก็บเกี่ยวข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลังลดลง ถึงแม้อ้อยโรงงานจะมีการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เครื่องจักรกลในการเก็บเกี่ยวอ้อยเพิ่มขึ้น เพื่อลดปัญหา PM 2.5 แต่ในภาพรวมสาขาบริการทางการเกษตรก็ยังคงหดตัว

สาขาป่าไม้ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 1.0% ไม้ยูคาลิปตัสเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะประเทศจีน ในการนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระดาษและแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ไม้ยางพารา ขยายตัวตามพื้นที่การตัดโค่นสวนยางพาราเก่า ประกอบกับตลาดต่างประเทศ เช่น จีน และญี่ปุ่นมีความต้องการไม้ยางพาราเพื่อนำไปผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์และเชื้อเพลิงชีวมวลอัดเม็ด (Wood Pellet) ถ่านไม้ มีความต้องการจากประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการประกอบอาหาร

ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจการเกษตรปี 2563 คาดว่าจะขยายตัว 0.3% (อยู่ในช่วง -0.2% ถึง 0.8%) โดยสาขาปศุสัตว์ สาขาประมง สาขาบริการทางการเกษตร และสาขาป่าไม้ ยังขยายตัวได้ มีการบริหารจัดการทั้งในด้านการผลิตและการตลาดที่ดี สำหรับสาขาพืชมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าจะสามารถทำการเพาะปลูกได้ตามฤถูกาลปกติ

อย่างไรก็ตาม จากการหดตัวลงมากในช่วงไตรมาส 1 ทำให้สาขาพืชในภาพรวมยังมีแนวโน้มหดตัว เนื่องจากผลผลิตพืชสำคัญในปี 2563 มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะข้าว อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และสับปะรดโรงงาน

โดยปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ภาคเกษตรขยายตัว คือ ความต้องการสินค้าเกษตรมีโอกาสเพิ่มมากขึ้น หลังจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่คาดว่าเมื่อสถานการณ์คลี่คลายจะทำให้มีความต้องการสินค้าอาหารเพิ่มมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากเริ่มมีคำสั่งซื้อข้าวไทยและสินค้าที่เป็นอาหารสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอาหารพร้อมรับประทาน (Ready to Eat) เนื่องจากสะดวกในการบริโภคและสามารถเก็บรักษาได้นาน นอกจากนี้ ในส่วนของมันสำปะหลังก็มีความต้องการมันเส้นเพิ่มมากขึ้นเพื่อนำไปเป็นวัตถุดิบผลิตแอลกอฮอล์ 75% และใช้ผสมทำเจลล้างมือเพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้แนวโน้มการส่งออกสินค้าเกษตรกลุ่มดังกล่าวมีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงถุงมือทางการแพทย์ ถุงมือยาง อาหารสุขภาพหรือผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น

ส่วนปัจจัยลบจากสถานการณ์โควิด-19 อาจทำให้ภาวะการค้า การเดินทาง และการขนส่งกระจายสินค้า ได้รับผลกระทบในช่วงแรก และการที่ราคาน้ำมันลดลง จะส่งผลให้ราคายางพาราและราคาพืชพลังงานทดแทนไม่สามารถปรับสูงขึ้นได้มาก รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่ผันผวน อาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันทางการค้าลดลง และส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตรในประเทศ

อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ได้มีมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับสถานการณ์โควิด-19 อาทิ การส่งเสริมและกระตุ้นการบริโภคผลไม้ภายในประเทศให้เพิ่มขึ้นภายใต้แนวคิด Eat Thai First การหาตลาดใหม่เพิ่มเติมจากเดิม และส่งเสริมการแปรรูปและการกระจายสินค้าเกษตรอย่างรวดเร็วผ่านระบบออนไลน์

นอกจากนี้ ได้เตรียมการรองรับแรงงานที่จะไหลกลับไปสู่ภาคเกษตร (Labor Migration) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและศาสตร์พระราชา โดยมีโครงการสำคัญที่แรงงานไหลกลับเข้าสู่ภาคเกษตร สามารถเข้าไปเรียนรู้และปฏิบัติตาม ได้แก่ 1) โครงการศูนย์ภูฟ้าพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน 2) โครงการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครศรีธรรมราช 3) โครงการเกษตรวิชญา จังหวัดเชียงใหม่ 4) โครงการศูนย์พัฒนาการเกษตรภูสิงห์อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดศรีสะเกษ 5) โครงการพัฒนาพื้นที่หนองอึ่งอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดยโสธร 6) โครงการพัฒนาตามพระราชดำริ อื่น ๆ เช่น ศูนย์บริการและพัฒนาลุ่มน้ำปายตามแนวทางพระราชดำริ จังหวัดแม่ฮ่องสอน โครงการพัฒนาตามพระราชดำริ อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ โครงการพัฒนาพื้นที่ราบเชิงเขา ตามพระราชดำริ จังหวัดสระแก้ว และศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในทุกภูมิภาคของประเทศอีกด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ