วีซ่า อิงค์ (Visa Inc.) บริษัทบัตรเครดิตรายใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยว่า ผลกำไรของบริษัทพุ่งสูงขึ้น 41% จากรายได้ในการซื้อสินค้าผ่านบัตรเดบิตที่เพิ่มขึ้น และการขยายตัวของผู้ใช้บริการในต่างประเทศในอัตราที่เร็วขึ้น
วีซ่า กล่าวในแถลงการณ์ว่า รายได้สุทธิไต่ระดับขึ้น 422 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 51 เซนต์ต่อหุ้นในไตรมาสที่สามของปีงบการเงินปัจจุบัน จากระดับ 299 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้านี้ โดยรายได้สุทธิที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ระดับ 59 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ 22 รายจากโพลล์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ วีซ่ายังได้ปรับเพิ่มเป้าหมายผลประกอบการประจำปี 2551 มาอยู่ที่ 40%
ทั้งนี้ หุ้นของวีซ่าพุ่งขึ้น 78% นับตั้งแต่ได้เปิดขายหุ้น IPO ในเดือนมี.ค. เนื่องจากนักลงทุนขานรับเครือข่ายการทำธุรกรรมบัตรเครดิตและเดบิตมากที่สุด โดยบริษัทได้ประโยชน์จากตลาดบัตรเดบิตในสหรัฐและอาจได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ขณะที่ผู้บริโภคหันมาใช้บัตรเดบิตเพิ่มมากขึ้น
"สิ่งที่เราเห็นมาตลอดคือยอดการใช้บัตรเดบิตพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก" ทิโมธี วิลลิ นักวิเคราะห์จาก Avondale Partners LLC ผู้ให้น้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นวีซ่าว่า "market perform"กล่าวให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก "เห็นได้ชัดว่าไตรมาสดังกล่าวที่มีการขยายตัวแข็งแกร่ง"
วีซ่าเปิดเผยว่า ยอดการซื้อสินค้าผ่านบัตรเดบิตพุ่งขึ้น 16% แตะที่ 1.93 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มี.ค. เมื่อเทียบกับระดับที่ไต่ขึ้น 10% ในปีก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตพุ่งขึ้น 8.1% แตะที่ 1.95 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
โจ ซาวเดอร์ ซีอีโอของวีซ่ากล่าวในแถลงการณ์ว่า "แม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญความท้าทายและมีอัตราการใช้จ่ายบัตรเครดิตที่ชะลอตัวลง แต่ยอดการใช้บัตรเดบิตของวีซ่าพุ่งสูงขึ้นอย่างแข็งแกร่ง"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตพุ่งสูงขึ้น 19% แตะที่ 6.52 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยยอดผู้ใช้บัตรวีซ่าทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น 14% แตะที่ 1.6 พันล้านใบ
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/ปนัยดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 323 อีเมล์:
[email protected]