ธนาคารกลางอังกฤษเปิดเผยว่า วิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลง ประกอบกับความผันผวนในตลาดเกิดใหม่อาจสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพในระบบการเงินของอังกฤษมากยิ่งขึ้น
นายจอห์น เกียฟ รองผู้อำนวยการฝ่ายรักษาเสถียรภาพทางการเงินของธนาคารกลางอังกฤษเปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว และระบบการเงินยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน ซึ่งระบบการเงินทั่วโลกกำลังเผชิญภาวะไร้เสถียรภาพครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่โชคดีที่ระบบการเงินของอังกฤษเริ่มมีสถานะที่ดีขึ้นจากอานิสงส์ของมาตรการช่วยเหลือด้านเงินทุน การค้ำประกันเงินฝาก และการอัดฉีดสภาพคล่อง
ด้านนายกรัฐมนตรีกอร์ดอน บราวน์ ได้ออกมากล่าวเมื่อวานนี้ว่า เขาอาจปรับปรุงนโยบายทางการเงินที่ใช้มานานกว่า 10 ปี ในยามที่วิกฤตการณ์ครั้งนี้กำลังกดดันให้รัฐบาลกระตุ้นการใช้จ่ายและอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบธนาคาร ขณะที่เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมาเงินปอนด์ดิ่งลงหนักสุดในรอบ 34 ปี หลังจากมีข้อมูลบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของอังกฤษในไตรมาสที่สามจะทรุดตัวหนักสุดนับตั้งแต่ปี 2534
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างต่อเนื่องหลังจากขาดทุนในตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน, หุ้นกู้ และหลักทรัพย์ประเภทอื่นๆ ในอังกฤษ สหรัฐ และยุโรปเป็นเงิน 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ระบบการเงินอังกฤษยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากความต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้นจากบริษัทนอกกลุ่มสถาบันการเงิน ซึ่งคาดว่าการปล่อยสินเชื่ออาจกระตุ้นให้มีการตั้งสำรองของผู้ปล่อยกู้สูงถึง 160 แสนล้านปอนด์ (2.48 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ)
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศชั้นนำระดับโลกในปีหน้าจะขยายตัวในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2525 ซึ่งทางหน่วยงานเห็นชอบที่จะปล่อยเงินกู้ฉุกเฉินให้กับยูเครนและฮังการี ขณะที่เบลารุสและปากีสถานก็กำลังร้องขอความช่วยเหลือจากไอเอ็มเอฟด้วยเช่นกัน