นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คาดว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้มีโอกาสที่จะขยายตัวติดลบ ซึ่งเป็นปัญหาต่อเนื่องมาจากช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน แต่เชื่อว่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมั่นใจประเทศไทยจะสามารถหลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้ภายในปลายปีนี้หรือราวต้นปี 53 เนื่องจากมองว่า ปัจจัยภายนอกหลายอย่างเอื้ออำนวย โดยเฉพาะการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมๆกันของหลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศสำคัญๆ อย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพไม่เกิดความผันผวนมาก แต่ทั้งนี้รัฐบาลคงจะไม่ประมาท โดยจะต้องประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่องตลอด
"ไตรมาส 1 ปีนี้ที่ติดลบต่อเนื่องเพราะเห็นได้ชัดจากกำลังซื้อหายไป รวมถึงเรื่องท่องเที่ยวและส่งออกจากตัวเลขในเดือนพ.ย. ธ.ค. 51 การจะเปลี่ยนจากลบมาเป็นบวกในม.ค.หรือก.พ.คงยาก จึงเป็นไปได้ที่ไตรมาสแรกปีนี้จะติดลบ...แต่ไตรมาส 2 หวังว่าจะดีขึ้นโดยลำดับ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงแผนการกู้เงินจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นแผนสำรองหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ผลว่า ตอนนี้กระทรวงการคลังกำลังเริ่มเจรจาในการหาแหล่งเงินกู้ว่ามีเงื่อนไขอย่างไรและจะใช้ได้เมื่อไหร่ ทั้งนี้คาดว่าอาจจะกู้ไม่ถึงแสนล้านบาท ซึ่งเป็นการเตรียมการไว้ล่วงหน้า เป็นแผนสำรอง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องใช้ ซึ่งหากมีการกู้เงินจากต่างประเทศจริงก็จะเป็นการกู้มาเพื่อใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในระยะกลางและระยะยาว
"ตอนนี้กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการอยู่ กำลังเริ่มเจรจาหาแหล่งเงิน เงื่อนไข ใช้เมื่อไหร่ คงดูตามความจำเป็นแม้จะยังไม่มีปัญหาแต่ก็เปิดเป็นทางเลือกไว้ เตรียมไว้ไม่ให้ประมาท...ถ้าจะกู้จริง ก็คงจะไม่เกิดขึ้นในไตรมาสแรกปีนี้ คงเป็นไตรมาส 2 เพราะภาระรัฐบาลในไตรมาส 1 มากอยู่แล้ว"นายกฯ กล่าว