ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวลดลงในเดือนม.ค.2552 เช่นเดียวกับตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ร่วงลงติดต่อกันนาน 6 เดือนในเดือนธ.ค. 2551
โดยดัชนีภาคการผลิตของสำนักงานจัดการอุปทานลดลงสู่ระดับ 35.6 จุดในเดือนม.ค. ซึ่งตัวเลขที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 50 จุดบ่งชี้ถึงภาวะตกต่ำ และตัวเลขดังกล่าวยังอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2551 ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคร่วงลง 1% ในเดือนธ.ค. ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขดังกล่าวมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ หลังจากดิ่งลงตลอดช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา ขณะที่ตัวเลขภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างร่วงลงเป็นเดือนที่ 3
โรงงานหลายแห่งมีแนวโน้มปรับลดกำลังการผลิตลงอีกเพื่อรับมือกับตัวเลขการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ดิ่งลงจนทำให้บริษัทต่างๆมีสินค้าค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก โดยเจนเนอรัล มอเตอร์ส คอร์ป (จีเอ็ม) มีแผนลดกำลังการผลิตที่โรงงาน 15 แห่งจนถึงเดือนมิ.ย.เพื่อควบคุมสินค้าส่วนเกิน ขณะที่ไครสเลอร์ แอลแอลซี ฟอร์ด มอเตอร์ โค และโตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปก็มีแผนปรับลดการผลิตลงเช่นกัน
"ตัวเลขภาคการผลิตอยู่ในระดับต่ำมาก" เจมส์ โอซัลลิแวน นักวิเคระห์จากยูบีเอส ซีเคียวริตี้ส์ แอลแอลซี กล่าว "ภาคการผลิตยังคงตกต่ำลงอย่างรุนแรง ขณะที่การใช้จ่ายผู้บริโภคยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ในเร็วๆนี้"ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ในสหรัฐต่างเข้มงวดในการออกสินเชื่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจมากขึ้นในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะได้รับเงินอัดฉีดเป็นจำนวนมากแล้วก็ตาม
ในทางกลับกันอัตราการออมเงินของชาวสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นสู่ระดับ 3.6% ในเดือนธ.ค.ซึ่งทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.หลังจากชาวสหรัฐได้รับเงินคืนภาษีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในก่อนหน้านี้ ส่วนรายได้ส่วนบุคคลขยับลง 0.2% ในเดือนธ.ค.