สำนักงานสถิติของอินโดนีเซียเปิดเผยว่า เศรษฐกิจของอินโดนีเซียขยายตัว 5.2% ในไตรมาสสี่ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอตัวลง และทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางอินโดนีเซียจะลดดอกเบี้ยและเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยตลอดปี 2551 เศรษฐกิจอินโดนีเซียขยายตัว 6.1% ซึ่งได้รับปัจจัยหนุนจากการส่งออกและการบริโภคภาคครัวเรือน เปรียบเทียบกับปี 2550 ที่มีอัตราขยายตัว 6.3% ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกโภคภัณฑ์ที่คึกคัก
ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนก.ย.ปีที่แล้ว ได้กดดันให้ความต้องการและราคาสินค้าส่งออกของอินโดนีเซียลดลงอย่างหนักในไตรมาสสุดท้ายของปี โดยเฉพาะ น้ำมันปาล์ม และยางพารา ซึ่งอินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 2 ตามลำดับ
อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจำนวนประชากรกว่า 230 ล้านคน จึงได้ตัดสินใจหันมาพึ่งพาตลาดขนาดใหญ่ในประเทศแทนการส่งออกไปต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5% เหลือ 8.25% ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยติดต่อกันในการประชุม 3 เดือน เพื่อยับยั้งเศรษฐกิจจากภาวะถดถอยและป้องกันสกุลเงินรูเปียห์แข็งค่า โดยธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมแล้วทั้งสิ้น 1.25% นับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียยังได้ลดราคาน้ำมันเป็นครั้งที่สามนับตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. เพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจ และคาดว่าอาจจะตามมาด้วยการลดราคาอาหารและสินค้าจำเป็นอื่นๆ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เศรษฐกิจของอินโดนีเซียขยายตัวที่ระดับเฉลี่ย 6% นับตั้งแต่ที่นายซูสิโล บัมบัง ยุดโดโยโน ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งปี 2547 แต่ปริมาณการส่งออกที่ลดลงและช่วงขาลงของเศรษฐกิจโลกได้ส่งผลให้แรงงานอินโดนีเซียนับแสนคนถูกเลย์ออฟ ซึ่งประเด็นนี้กำลังเป็นที่วิตกว่าอาจบั่นทอนคะแนนเสียงของเขาในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะจัดขึ้นในปีนี้