อลัน กรีนสแปน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ ABC ว่า รัฐบาลสหรัฐยังไม่ควรใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ แม้อัตราว่างงานในสหรัฐมีแนวโน้มพุ่มขึ้นแตะระดับ 10% ก็ตาม เพราะเม็ดเงินที่ถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากเกินไปจะส่งผลให้สหรัฐต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อในระดับที่อาจจะควบคุมไม่ได้
"สิ่งที่รัฐบาลสหรัฐจดจ่ออยู่ในเวลานี้คือการพยายามพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนต่อไปได้ ด้วยการใช้ยุทธศาสตร์ทุกด้านเท่าที่มี รวมถึงการคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำและการลดหย่อนภาษี แต่การที่จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สองนั้น จะทำให้เกิดความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ" กรีนสแปนกล่าวกรีนสแปนยังกล่าวด้วยว่า "เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขายตัวขึ้น 3% ในไตรมาส 3 และอาจจะขยายตัวขึ้นมากกว่านั้น ผมยอมรับว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกมูลค่า 7.87 แสนล้านดอลลาร์ที่รัฐบาลบังคับใช้ไปเมื่อเดือนก.พ.นั้น ได้ผลเพียง 40% แต่สิ่งที่ดีที่สุดในเวลานี้คือรอดูอย่างระมัดระวัง"
บลูมเบิร์กรายงานว่า การแสดงความคิดเห็นของกรีนสแปนมีขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรในเดือนก.ย.ลดลง 263,000 ราย ซึ่งเป็นการปรับตัวลง 21 เดือนติดต่อกัน และร่วงลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 175,000 ราย ขณะที่อัตราการว่างงานพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปีที่ 9.8 % เทียบกับระดับ 9.7% ในเดือนส.ค.
ด้านวุฒิสมาชิกชาร์ลส์ ชูเมอร์ จากพรรคเดโมแครต เปิดเผยกับ ABC ว่า วุฒิสภาสหรัฐเตรียมอภิปรายเรื่องแนวทางการแก้ไขวิกฤตการณ์แรงงาน รวมถึงการอนุมัติขยายเวลาการให้สวัสดิการสำหรับคนว่างงานออกไปอีก 12-13 สัปดาห์ หลังจากอัตราว่างงานสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 26 ปี
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐ กล่าวภายหลังจากทราบข้อมูลอัตราว่างงานเดือนก.ย.ว่า รัฐบาลจะเร่งหาทางแก้ไขวิกฤตการณ์ในตลาดแรงงาน โดยโอบามายอมรับว่าอัตราว่างงานเดือนก.ย.ออกมาน่าผิดหวัง แม้รัฐบาลได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการเงิน การลดหย่อนภาษี และการคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับต่ำแล้วก็ตาม