นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้าผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศต่อไปอย่างต่อเนื่อง แม้เชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม
นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะต้องไม่ให้ปัญหาทางการเมืองมาเป็นอุปสรรค เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ต้องการเห็นประเทศเสียโอกาสในการพัฒนา และคงไม่ต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเกิดสะดุดเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง
และจากแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในขณะนี้ มั่นใจว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องและสอดคล้องกับแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของโลก หลังจากนี้รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าที่จะวางรากฐานเศรษฐกิจให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น แม้ว่าการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจจะเร็วกว่าที่คิดก็ตาม
นายอภิสิทธิ์ มั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3/52 จะอยู่ในระดับที่ดีกว่าไตรมาส 2/52 และจะกลับมาเป็นบวกได้ในไตรมาส 4/52 และถึงแม้ว่าขณะนี้ภาพรวมทางด้านเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ยังถือว่ามีความเปราะบางอยู่มาก ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องเร่งรัดโครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง
ส่วนเศรษฐกิจไทยปี 53 เชื่อว่าจะขยายตัวได้ในอัตรา 3% โดยรัฐบาลจะเดินหน้าตามนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอความร่วมมือกับทุกฝ่ายในการช่วยกันฟันฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจต่อไป
"แม้ปีหน้าจะมีการประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 3% แต่เรายังไม่ไว้วางใจ...เราอาจไม่เห็นเศรษฐกิจติดลบในปีหน้า แต่ขณะเดียวกันเราจะตายใจ เราจะประมาท หรือไม่ทำงานงานหนัก คงไม่ใช่ รัฐบาลยังแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่ายในสังคม ผมจึงได้วางกลไกลต่างๆเอาไว้"นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)วันที่ 13 ต.ค.นี้ รัฐบาลจะพิจารณาการนำเงินกู้ ตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเหลือจากการนำเงินไปชดเชยเงินคงคลัง ไปใช้ลงทุนในโครงการกองทุนหมู่บ้านและการประกันรายได้เกษตรกรต่อไป
ส่วนการกู้เงิน ตาม พ.ร.บ.กู้เงินฯ วงเงิน 4 แสนล้านนั้น รัฐบาลจะมีการปรับเปลี่ยนแผนงานการดำเนินโครงการในโครงการไทยเข้มแข็งที่เน้นการวางยุทธศาสตร์ในระยะกลางและระยะยาวต่อไปอีกด้วย