จัสติน ยีฟุ ลิน รองประธานอาวุโสของธนาคารโลกและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาเตือนว่า การที่จีนจะพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนได้ต้องมุ่งเน้นเรื่องการสร้างสมดุล ซึ่งที่ผ่านมาจีนมีจุดยืนทางการเงินที่แข็งแกร่ง และยังมีเงินสำรองต่างประเทศถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ จีนยังมีโอกาสที่จะยกระดับด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอีกมาก
รองประธานอาวุโสกล่าวต่อไปว่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับรัฐบาลที่จะพุ่งเป้าไปที่ความพยายามในการสร้างสมดุลให้กับเศรษฐกิจมากกว่าเดิม รวมทั้งผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวจากดีมานด์ภายในประเทศ นอกจากการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมแล้ว จีนควรจะให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภาคการเงินด้วยเช่นกัน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รองประธานอาวุโสชี้ว่า บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งจ้างพนักงานถึง 80% ยังไม่สามารถเข้าถึงบริการด้านการเงินได้ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวถูกครอบงำจากธนาคารขนาดใหญ่ที่ให้บริการกับบริษัทรายใหญ่ๆเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจจะทำให้เกิดช่องว่างด้านรายได้มากขึ้น ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประสบความสำเร็จในการลดผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการนำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนมาใช้ เงิน 80% จากงบกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวจะกระจายไปยังโครงการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ซึ่งงบครึ่งหนึ่งคาดว่าจะนำไปใช้กับโครงการอนุรักษ์พลังงานและการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม
รองประธานอาวุโศฯกล่าวต่อไปว่า หลายฝ่ายมักคิดว่า การลงทุนจะทำให้เกิดเงินเฟ้อ แต่ผมกังวลเรื่องเงินฝืดมากกว่า ปัจจัยท้าทายที่สำคัญที่เศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกเผชิญอยู่ก็คือ ความเสี่ยงของภาวะการผลิตที่สูงเกินไป หากไม่หาทางแก้ อาจจะทำให้เกิดภาวะเงินฝืดได้ และจะมีคนว่างงานมากขึ้น รวมถึงอัตราการล้มละลายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายและการลงทุนอ่อนตัวลง