โธมัส ดีนาโปลี ผู้ตรวจสอบบัญชีประจำรัฐนิวยอร์กของสหรัฐเปิดเผยว่า เศรษฐกิจในย่านวอลล์สตรีทของสหรัฐกำลังฟื้นตัวขึ้นในอัตราที่รวดเร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ในรัฐนิวยอร์กที่สามารถทำกำไรได้ถึง 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 3 หลังจากขาดทุนกว่า 4.03 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว อีกทั้งพบว่าตัวเลขว่างงานในวอลล์สตรีทอาจมีอยู่ไม่เกิน 35,000 ตำแหน่ง ซึ่งน้อยกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ที่ 47,000 ตำแหน่ง
ดีนาโปลีระบุว่า 6 ธนาคารรายใหญ่สุดในวอลล์สตรีทสามารถกันเงินสำรองเอาไว้สูงถึง 1.12 แสนล้านดอลลาร์สำหรับจ่ายค่าชดเชยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2552 นอกจากนี้ เงินตอบแทนที่บริษัทเตรียมไว้ให้กับพนักงานในรูปของโบนัส รวมถึงหุ้นนั้น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูงกว่าในปีที่แล้ว
"ขณะที่ทางรัฐบาลคุมเข้มเรื่องการจ่ายเงินโบนัสและเงินชดเชยเพื่อควบคุมความเสี่ยงในระบบเศรษฐกิจ บริษัทในวอลล์สตรีทยังคงได้ประโยชน์จากนโยบายลดหย่อนภาษีเงินได้ ซึ่งการดำเนินการของรัฐบาลในลักษณะนี้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในระยะยาวให้กับภาคการเงิน และจนถึงขณะนี้วอลล์สตรีทยังคงเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งในรัฐนิวยอร์กและนิวยอร์กซิตี้" ดีนาโปลีกล่าวดีนาโปลีคาดว่า ตัวเลขว่างงานในวอลล์สตรีทจะมีอยู่ไม่เกิน 35,000 ตำแหน่งในปีนี้ ซึ่งน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 47,000 ตำแหน่ง และคาดว่ารายได้จากการจัดเก็บภาษีในภาคการเงินซึ่งคิดเป็นร้อยละ 20 ของรายได้จากการจัดเก็บภาษีทั้งหมดในรัฐนิวยอร์ก จะเพิ่มขึ้น 15% ในปีงบประมาณซึ่งสิ้นสุด ณ เดือนมี.ค.25523 แต่คาดว่า รายได้จากการจัดแก็บภาษีในมืองนิวยอร์กซิตี้จะลดลง 40%
อย่างไรก็ตาม ดีนาโปลีเตือนว่า ภาคการเงินของวอลล์สตรีทยังคงเปราะบางและมีความเสี่ยงที่จะกลับไปสู่ภาวะถดถอยหากการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจสหรัฐเป็นไปอย่างล่าช้า อีกทั้งคาดว่าบริษัทเอกชนและผู้บริโภคจะยังคงประสบความยากลำบากในการเข้าถึงสินเชื่อ
บลูมเบิร์กรายงานว่า การเปิดเผยของดีนาโปลีมีขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่วุฒิสภาสหรัฐกำลังประชุมเรื่องยอดขาดดุลงบประมาณที่คาดว่าจะพุ่งสูงกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ในอีก 17 เดือนข้างหน้า โดยวุฒิสมาชิกจากพรรคเดโมแครตบางคนเสนอให้มีการลดการจ่ายเงินโบนัสและค่าตอบแทนของวอลล์สตรีทเพื่อช่วยให้รายได้จากการจ่ายเงินภาษีปรับตัวเพิ่มขึ้น