ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทซึ่งไถ่ถอนภายใน 5 ปีของ บริษัท ไซยะบุรี พาวเวอร์ จำกัด (XPCL) ที่ระดับ "BBB+" โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระหนี้หุ้นกู้ที่จะถึงกำหนดไถ่ถอน ในขณะเดียวกันทริสเรทติ้งก็คงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทที่ระดับ "A-" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "BBB+" โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง "Stable" หรือ "คงที่" ด้วย
ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้ต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 1 ขั้นเนื่องจากเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันมีความด้อยสิทธิกว่าเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันอย่างมีนัยสำคัญซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีภาระหนี้ที่มีหลักประกันในสัดส่วนที่สูง
อันดับเครดิตสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่เชื่อถือได้ของบริษัทจากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (อันดับเครดิต "AAA/Stable") นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังได้รับประโยชน์จากสัญญาที่มีการกำหนดโครงสร้างไว้เป็นอย่างดีและต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่สามารถแข่งขันได้ของโครงการซึ่งมีต้นทุนเชื้อเพลิงที่ต่ำมากอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากความไม่แน่นอนของกระแสน้ำ ตลอดจนภาระหนี้สินและภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงอย่างมีนัยสำคัญของบริษัท และความเสี่ยงของประเทศจากการดำเนินงานในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว)
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสร้าง EBITDA ที่จำนวน 1.14-1.25 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงระหว่างปี 2568-2570 ในขณะที่ภาระหนี้สินรวมคาดว่าจะค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 6.87 หมื่นล้านบาทในปี 2570 ดังนั้น อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของบริษัทจึงคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 5-6 เท่าในช่วงเวลาประมาณการ
ณ เดือนธันวาคม 2567 บริษัทมีภาระหนี้(ไม่รวมหนี้สินตามสัญญาเช่า) จำนวน 8.96 หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นหนี้ที่มีหลักประกันจำนวน 6.13 หมื่นล้านบาท ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีหลักประกันต่อภาระหนี้รวมของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับ 68.4% ซึ่งสูงกว่าระดับ 50% ตาม"เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตตราสารหนี้" ของทริสเรทติ้งเป็นอย่างมาก ส่งผลให้เจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีหลักประกันอย่างมีนัยสำคัญเมื่อพิจารณาจากสิทธิเรียกร้องในสินทรัพย์ของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงมุมมองของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงดำเนินงานได้อย่างมีเสถียรภาพภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. รวมทั้งจะสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงและเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ ดังนั้น ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าภาระหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะลดลงอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสที่ทริสเรทติ้งจะปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทยังไม่มีในระยะใกล้ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งอาจพิจารณาปรับเพิ่มอันดับเครดิตหากบริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าประมาณการกรณีพื้นฐานของทริสเรทติ้งจนทำให้กระแสเงินสดต่อภาระหนี้สินของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในทางกลับกัน การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดขึ้นได้หากผลการดำเนินงานของบริษัทต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งคาดการณ์ไว้อย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้การสร้างกระแสเงินสดถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ