SCGD สู้ศึกเศรษฐกิจปักหมุดเวียดนามฐานผลิต-ส่งออกดันยอดขายพุ่งคาดครึ่งปีหลังสดใส

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 30, 2025 15:20 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

SCGD สู้ศึกเศรษฐกิจปักหมุดเวียดนามฐานผลิต-ส่งออกดันยอดขายพุ่งคาดครึ่งปีหลังสดใส

นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ [SCGD] เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังคาดเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรกของปี 68 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตจากเวียดนามเป็นหลัก เพื่อเข้ามาชดเชยยอดขายในไทยที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ พร้อมปักหมุดเวียดนามเป็นฐานการผลิต-ส่งออกเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากเวียดนามเพิ่มเป็น 30-40% ภายใน 3 ปีข้างหน้า (ปี 68-70) จากปัจจุบันอยู่ที่ราว 23-25%

ขณะที่ภาพรวมทั้งปี 68 คาดเติบโตลดลงเล็กน้อยจากปี 67 เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายในไทยชะลอตัวลงค่อนข้างมาก ขณะที่แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลังยอดขายในไทยคาดทรงตัว เพราะยังไม่เห็นปัจจัยบวกชัดเจนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ บริษัทจึงเดินหน้าลงทุนในเวียดนามด้วยแผนขยายกำลังการผลิตเพื่อเตรียมพร้อมเป็นฐานส่งออก เนื่องจากมองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจเวียดนามยังเติบโตต่อเนื่อง และสามารถควบคุมต้นทุนให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ ประกอบกับ เวียดนามบรรลุข้อตกลงทางภาษีกับสหรัฐด้วยอัตรา 20% แล้ว

สำหรับความกังวลที่ไทยอาจถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ปัจจุบัน มองว่าผลกระทบทางตรงกับบริษัทค่อนข้างน้อย เนื่องจากสัดส่วนที่กลุ่มบริษัทส่งออกไปตลาดสหรัฐมีน้อยกว่า 1% ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมคือหากทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและตลาดซบเซาลง แต่การที่บริษัทเป็นผู้ประกอบการในภูมิภาคอาเซียนที่มีโรงงานอยู่ในหลายประเทศแพื่อรองรับความผันผวน บริษัทสามารถใช้เวียดนามเป็นฐานการส่งออกได้ เนื่องจากมีศักยภาพแข่งขันในระดับโลก

"แม้เวียดนามจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% แต่เรามีฐานการผลิตใหญ่ในเวียดนามและมีต้นทุนที่ดี ดังนั้นเวียดนามจะเกิดโอกาสในการส่งออก ขณะที่การส่งออกผลิตภัณฑ์จากไทยที่ส่งไปสหรัฐส่วนหนึ่งประมาณ 1% ก็ย้ายการผลิตในเมืองไทยไปผลิตเวียดนาม และใช้ฐานการผลิตเวียดนามส่งออกไปแทน เราก็จะปิดโอกาสความเสี่ยงตรงนี้"นายนำพล กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ยอดขายในไทยจะชะลอตัว แต่บริษัทได้มีการนำเข้าสินค้าที่มีโอกาสเติบโตเข้ามาขยายพอร์ตในไทย รวมทั้งนำเข้าสินค้าที่ผลิตในเวียดนามมาขายในไทย เนื่องจากต้นทุนสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตต่างชาติรายอื่นที่นำเข้าสินค้ามายังไทยได้

ขณะที่ประเด็นข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา นายนำพล กล่าวว่า ผลกระทบกับบริษัทไม่มากนัก เพราะบริษัทส่งสินค้าไปขายในกัมพูชาประมาณ 30 ล้านบาทต่อเดือนเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับพอร์ตรวม แต่ก็คาดหวังว่าสถานการณ์จะจบลงโดยเร็วอย่างสันติ ทั้งนี้บริษัทได้เตรียมสินค้าเพื่อส่งไปยังกัมพูชาไว้แล้วหากสถานการณ์คลี่คลายก็จะสามารถส่งเข้าไปได้ทันที

สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2/68 ไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจมี EBITDA อยู่ที่ 879 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน มีกำไรสุทธิ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากไตรมาสก่อน จากโครงการลดต้นทุนพลังงาน เร่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) รวมถึงปรับโครงสร้างธุรกิจ ส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง บริษัทมี EBITDA on sales อยู่ที่ 15.2% และอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 4.8% ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา นับตั้งแต่ไตรมาส 2/67

นอกจากนี้ ปริมาณการขายกระเบื้องในไตรมาส 2/68 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 31.7 ล้านตารางเมตร โดยได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคโดยเฉพาะในเวียดนาม ซึ่ง SCGD มีธุรกิจ PRIME ที่สามารถบริหารต้นทุนให้แข่งขันเทียบเท่าผู้เล่นระดับโลก จากการที่บริษัทปรับตัวเชิงรุกพร้อมรับมือความผันผวน เดินหน้าติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และในประเทศอย่างใกล้ชิด ทำให้มั่นใจว่าธุรกิจจะสามารถคว้าโอกาสจากความท้าทายจากเศรษฐกิจได้ด้วย 3 กลยุทธ์เข้มข้น ดังนี้

1. ปักหมุดเวียดนาม: เพิ่มกำลังผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน 25% เพื่อเป็นฐานส่งออก ตอบรับความต้องการในภูมิภาค

2. ขยายพอร์ตสินค้า: เน้นสินค้า HVA (High Value Added) และสินค้านำเข้าคุณภาพสูง ตอบโจทย์ทุกเซกเมนต์

3. ลดต้นทุน: ลดต้นทุนผลิตกว่า 36 ล้านบาท/ปี จากพลังงานทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงลดต้นทุนบริหารจัดการ 140 ล้านบาท/ปี ด้วย AI และ Digital

บริษัทมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 38,787 ล้านบาท และยังคงความแข็งแกร่งทางการเงิน มีความสามารถในการเติบโตระยะยาว รวมทั้งยังมีการจัดการเงินทุนและการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เน้นให้สอดคล้องกับแผนการเติบโตในอนาคต ล่าสุด บริษัทได้ร่วมมือกับ AXENT Switzerland ศึกษาความเป็นไปได้ ในการขับเคลื่อนการเติบโตตลาดสุขภัณฑ์อัจฉริยะครบวงจร ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นอกจากนี้ ในครึ่งปีแรกบริษัทได้ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ไปยังต่างประเทศ และเพิ่มผู้แทนจำหน่ายเป็น 177 ราย และมียอดขายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศ 244 ล้านบาท และสำหรับการขยายธุรกิจสินค้าและบริการเกี่ยวเนื่องภายในไทยเพื่อต่อยอดไปสู่อาเซียนในอนาคตในครึ่งปีแรกบริษัทมียอดขายกว่า 208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ