ปี 68 กำลังจะโบกมือลาไปแล้วในไม่ช้า เชื่อว่าพอร์ตหลายคนผันผวนกันสุดๆ มีเรื่องมากมายกระทบตลาดหุ้นทั้งด้านบวกและลบ เราจึงอยากชวนมาจัดพอร์ตปี 69 กันตั้งแต่เนิ่นๆ สินทรัพย์ไหนจะพาเรารอด พอร์ตลงทุนสวย กับนายชยนนท์ รักกาญจนันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ Co-founder ของ Finnomena Funds
ทิศทางการลงทุนในปี 69 จะมีปัจจัย 3 ธีมที่มีผลต่อตลาด ได้แก่
1.ภาพการลงทุน AI อย่างมหาศาลยังมีต่อเนื่องในปี 69 หลายบริษัทในสหรัฐเดินหน้าลงทุนทั้งที่ยังไม่เห็นช่องทางสร้างรายได้กลับมาอย่างชัดเจน อาจทำให้ฟองสบู่แตก เสี่ยงตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานถ้าสุดท้ายมีผู้แพ้-ผู้ชนะ
2.มาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีทรัมป์ (Tarriff) ไม่ได้ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น "ทรัมป์" เร่งให้เฟดรีบลดดอกเบี้ย แต่หากระยะต่อไป Tariff ส่งผลต่อเงินเฟ้อให้สูงขึ้นจริง แล้วเฟดรีบลดดอกเบี้ยไปก่อน อาจทำให้เห็นภาพการบริหารผิดทิศทาง ตลาดหุ้นก็อาจปรับฐาน
3.ภาพรวมเศรษฐกิจ K shape Recovery เกิดขึ้นทั่วโลก ประเทศไหนที่ไม่สามารถปรับไปใช้เทคโนโลยีก็ต้องหลีกเลี่ยง
นายชยนนท์ ระบุว่า ในหุ้น 7 นางฟ้า ไม่ได้ดีหมดทุกตัว มี 3 ตัวที่แพ้ S&P500 คือ META, TESLA, NETFLIX ส่วนอีก 4 ตัวชนะ คือ Microsoft, Google, Amazon โดยทั้ง 3 บริษัทเป็น Hyperscale ที่มีกำไรมาก cashflow เป็นบวก มีการลงทุน AI Infrastructure มี Ecosystem เป็นของตัวเอง มองว่าในปี 69 น่าจะเฉิดฉายได้ดี
ส่วนหุ้นดังอย่าง NVIDIA เพิ่งได้รับข่าวดีว่ารัฐบาลทรัมป์เพิ่งอนุญาตให้ส่งออกชิป H200 ไปจีนได้ (แลกกับภาษี 25%) ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกรายได้ก้อนโตที่เคยหายไป แต่ Valuation "แพงในเชิงความเสี่ยง แต่ถูกในเชิงตัวเลข" P/E Ratio หากดูแค่ตัวเลข Forward P/E ของ NVIDIA อาจดูเหมือนลดลงมาอยู่ในระดับ 30-40 เท่า ถือว่า "ไม่แพง" สำหรับหุ้น Growth
อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงคือ "คุณภาพของรายได้" ถ้าข้อกล่าวหาเรื่อง Circular Financing เป็นจริง (รายได้จากการที่ Startup กู้เงินมาซื้อ) ตัวเลข E (Earnings) ที่ใช้คำนวณ P/E นั้นจะเชื่อถือไม่ได้ ทำให้หุ้นเสี่ยงปรับฐาน อีกทั้งในปี 69 การเติบโตแบบ Triple Digit (100%+) น่าจะจบลง และเข้าสู่การเติบโตระดับปกติ (+20-30%) ซึ่งมักจะทำให้ Multiple ของหุ้นถูกปรับลดลง (De-rating) ฉะนั้น ยังถือได้แต่ upside จำกัด
อีกสินทรัพย์หนึ่ง คือ ทองคำ ปีหน้ายังดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงที่ "ทรัมป์" ยังนั่งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ แต่ความไม่แน่นอนของตลาดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา อีกทั้งสงครามการค้าสหรัฐกับจีนก็ยังคงอยู่ต่อไป
สำหรับสินทรัพย์ที่น่าเป็นห่วงคือ (1) บิทคอยน์ อาจถูกกดดันจากการที่กองทุน ETF และ PASSIVE fund เทขายหุ้น microstrategy หากหลุด MSCI ที่จะประกาศ 16 ม.ค.69 จึงมีโอกาสที่ microstrategy จะเทขายบิทคอยน์ไปด้วย
(2) หุ้นจีน ยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์จากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงอยู่ต่อเนื่อง 5 ปีแล้วที่สต็อกอสังหาฯคงมีจำนวนมหาศาล หากยังระบายสต็อกไม่ได้ก็จะมีโอกาสเห็นบริษัทอสังหาฯล้มลงไปอีก
นายชยนนท์ แนะนำการจัดพอร์ตสำหรับปี 69 ควรมีหุ้นเทคสหรัฐสัดส่วนครึ่งหนึ่ง หรือ 50% แต่หากหุ้นสหรัฐเข้าช่วงปรับฐาน ให้ลดน้ำหนักมาที่ 25-30% เตรียมเงินสดไว้หาจังหวะเข้าใหม่
ที่เหลือเป็น หุ้นอินเดีย 20% จากเศรษฐกิจเติบโตมากที่สุด ประชากรมากสุด 1,400 ล้านคน ปัญหาขัดแย้งทางภูมิรัฐศาตร์ต่ำที่สุดในโลก และ Tariff สหรัฐไม่ค่อยกระทบเพราะส่งออกไปตลาดสหรัฐน้อยมาก
หุ้นเวียดนาม 10-20% ในเดือน ก.ย.69 จะเข้าคำนวณ FTSE Emerging Market ระหว่างนี้กลุ่ม Active Fund กำลังเข้าไป และเมื่อเข้าคำนวณกลุ่ม กอง ETF จะเข้าตามไป ขณะที่เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตดี ไตรมาส 3/68 เติบโต 8% กำไร EPS ถูกปรับขึ้น และ Valuation ถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นสหรัฐ อินเดีย และไทย
ส่วนทองคำ แนะให้มีในพอร์ต 5-10%
https://youtu.be/0-NaETOw8TQ