SIS เน้นลดสต็อก-ต้นทุนดันมาร์จิ้น คาด H2/55 โต,เล็งขยายตลาดพม่า-เขมร

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday May 24, 2012 18:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) (SIS) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลงมาที่ 3.6% ต่ำกว่าปีก่อน เนื่องจากบริษัทเน้นการขายสินค้าค้างสต็อกทำให้อัตรากำไรลดลง ดังนั้น จากนี้ไปบริษัทจะเน้นการบริหารสต็อกให้ลดลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ซึ่งคาดว่าจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงกับปีก่อน และภาระการตั้งสำรองไม่สูงเท่ากับปีก่อน

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ในไตรมาส 2/55 จะดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/55 แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากแนวโน้มในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมายังไม่ดีมากนัก ขณะที่คาดว่ายอดขายในเดือน พ.ค.อาจจะทรงตัว ส่วนเดือนมิ.ย.แม้จะมีงานคอมมาร์ทและงานเอ็กซ์โปต่าง ๆ ก็ยังไม่น่าจะกระตุ้นยอดขายได้มากนัก

ดังนั้น ภาพรวมในไตรมาส 2/55 บริษัทยังคงต้องระมัดระวังเรื่องสต็อกสินค้าให้ลดลงต่ำกว่าไตรมาส 1/55 ที่อยู่ในระดับ 3.75 พันล้านบาท ซึ่งตั้งเป้าทั้งปีจะให้ลดลงเหลือ 3 พันล้านบาท ขณะเดียวกันการเพิ่มสินค้าใหม่จะต้องทำอย่างระมัดระวัง โดยเน้นสินค้าที่ขายออกได้ง่าย

อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าแนวโน้มครึ่งปีหลังยอดขายน่าจะดีขึ้น เนื่องจากไตรมาส 3/55 จะมีการออกสินค้าใหม่ ๆ มารองรับการเปลี่ยนมาใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์ 8 ที่มีออพชั่นที่สามารถนำมาใช้กับแท็บเล็ตได้ ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้มากขึ้น รวมถึงผู้ผลิตสินค้าไอทีจะมีการออกคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ครุ่นใหม่ ๆ มามากขึ้น เช่น เลโนโว จะออกโน๊ตบุ๊คที่พลิกได้ 180 องศาและเปลี่ยนเป็นแทบเล็ตได้ด้วย

"gross profit margin จะดีขึ้นหากสามารถเคลียร์สต็อกได้ลดลง แต่จะกลับมาเหมือน 2-3 ปีที่ผ่านมาคงเป็นไปได้ยาก เพราะก่อนหน้านี้เราทำได้ดี และกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฟนมีขายน้อยทำให้ทำกำไรได้มาก แต่ตอนนี้มีสินค้าในตลาดเยอะมาก การทำกำไรก็ลดลง ดังนั้นเราจึงต้องเร่งหาทางออกด้วยการเคลียร์สต็อก และระวังในการสั่งซื้อสินค้าใหม่ รวมถึงลดค่าใช้จ่ายอื่น ๆ"นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวว่า จากการที่บริษัทมีสต็อกคงค้างจำนวนมาก ทำให้ไตรมาส 1/55 บริษัทต้องมีการตั้งสำรองฯประมาณ 20 ล้านบาท และคาดว่าไตรมาส 2/55 จะมีการตั้งสำรองฯ อีก 10-20 ล้านบาท แต่ทั้งปีคงตั้งสำรองไม่ถึง 100 ล้านบาสทเท่าปีก่อน

ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนจะขยายตลาดไปยังพม่าและกัมพูชา โดยอาจจะเป็นลักษณะการขายผานส่วนราชการ เนื่องจากการขายให้กับประชาชนยังไม่น่าสนใจ เพราะมีกำลังซื้อน้อย แต่บริษัทคงต้องศึกษาข้อกฎหมายให้ละเอียดและพิจารณาขนาดของตลาดก่อนที่จะตัดสินใจเข้าไปลงทุน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ