บลจ.กรุงไทย คลอดกองทุนตราสารหนี้ตปท.อายุ 1 ปี ชูผลตอบแทน 3.25%

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 1, 2013 12:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 36(KTFF36) ในวันที่ 2-8 ต.ค.56 มูลค่า 7,000 ล้านบาท อายุโครงการ 1 ปี เน้นลงทุนในเงินฝากประจำ Bank of China, บัตรเงินฝาก China Construction Bank(Asia), MTN ออกโดย ICBC Asia Ltd., MTN ออกโดย Banco Do Brasil S.A., MTN ออกโดย BLADEX ในสัดส่วนบริษัทละ 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 3.25% ต่อปี

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่(Roll Over)กองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 6 เดือนคุ้มครองเงินต้น 1( KTFIX6M1) ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 4 ต.ค.56 อายุ 6 เดือน เน้นลงทุนในเงินฝาก/บัตรเงินฝาก/ตั่วแลกเงินของ ธนาคารธนชาต ธนาคารทิสโก้ และธนาคาร ICBC ประเทศไทยในสัดส่วน 41% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.45% ต่อปี

นายสมชัย กล่าวอีกว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยยังได้รับอิทธิพลจาก 2 ปัจจัย คือ ผลการตัดสินใจชะลอแผนการลดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของสหรัฐอเมริกา(QE Tapering)และการประกาศตารางประมูลพันธบัตรรัฐบาลชุดใหม่ในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 57 ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าที่ตลาดคาดไว้ ทำให้ในช่วงต้นสัปดาห์อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรภาครัฐไทยปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตราสารหนี้ระยะกลางและระยะยาว ในขณะที่ตราสารระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ค่อนข้างทรงตัวและบางรุ่นปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนมีการขายตราสารระยะสั้นเพื่อไปลงทุนในตราสารที่มีอายุยาวขึ้น

อย่างไรก็ตาม การปรับลดลงของอัตราผลตอบแทนคาดว่าจะอยู่ในระดับจำกัด เนื่องจากตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดว่ามาตรการลดอัดฉีดสภาพคล่องจะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า และจะกระทบต่อกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ แม้ว่าโดยภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว ซึ่งเอื้อต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่องไปถึงปีหน้า

ส่วนตลาดตราสารหนี้ในต่างประเทศ ผลจากการชะลอแผน QE Tapering ทำให้อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ปรับตัวลดลง ยกเว้น อัตราผลตอบแทนของเงินฝากและตราสารหนี้ของสถาบันการเงินบางประเทศที่ยังทรงตัวในระดับสูงเนื่องจากความต้องการระดมเงินในช่วงปลายปี

นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินดอลล่าร์สหรัฐ (แกว่งตัวในช่วง 31.00 — 31.35 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นผลบวกสำหรับการลงทุนในต่างประเทศหากมีการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยเมื่อแปลงอัตราผลตอบแทนกลับมาในรูปสกุลเงินบาทแล้วจะทำให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นและสูงกว่าการลงทุนในประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ