PIMO พุ่ง 7.29% รับตปท.ทาบเป็น Strategic Partner หลังสรุปออร์เดอร์ใหญ่ ก.พ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 26, 2016 17:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ราคาหุ้น PIMO ปิดตลาดอยู่ที่ 2.06 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท หรือ 7.29% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 131.49 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับขึ้นแตะระดับ 2.10 บาท สูงสุดในรอบเกือบ 2 เดือน ขณะที่ระหว่างวันราคาหุ้นทำระดับต่ำสุดที่ 1.95 บาท

นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไพโอเนียร์ มอเตอร์ (PIMO) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีบริษัทผู้ผลิตมอเตอร์รายใหญ่ในต่างประเทศ เข้ามาเจรจาเพื่อแสวงหาโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจ เนื่องจากสนใจที PIMO สินค้าหลักสำคัญ คือ มอเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถเป็นส่วนเสริมในการทำตลาดต่างประเทศได้ เนื่องจากบริษัทดังกล่าวผลิตมอเตอร์ขนาดใหญ่เป็นหลัก

ขณะที่ PIMO เองก็สนใจหากจะเข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Partner) เพื่อให้บริษัทเติบโตและมีความแข็งแกร่งในการขยายตลาดต่างประเทศ เนื่องจากบริษัทต่างประเทศดังกล่าวเป็นผู้เล่นรายใหญ่ใน 3 ประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และแคนาดา ซึ่งหากมีความร่วมมือกันก็จะทำให้บริษัทมีพนักงานขายเพิ่มอีกมากกว่า 300 คนใน 3 ประเทศนี้

อย่างไรก็ตาม นายวสันต์ ยืนยันว่า จะไม่มีการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ แต่อาจเปิดทางให้พันธมิตรเข้ามาถือหุ้นได้ส่วนหนี่ง หากได้ราคาเหมาะสม และมีกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สอดคล้องกัน แต่ในเบื้องต้นพันธมิตรรายนี้ได้สั่งสินค้าล็อตใหญ่เข้ามาเพื่อส่งไปขายยังออสเตรเลีย ซึ่งจะทำให้ยอดขายของบริษัทในตลาดออสเตรเลียปีนี้เพิ่มเป็นเท่าตัว โดยคาดว่าจะสรุปคำสั่งซื้อได้ภายในกลางเดือน ก.พ.59 หลังจากนั้นจึงอาจเจรจาความร่วมมือทางธุรกิจกันต่อไป

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่ามีบริษัทในประเทศสนใจซื้อกิจการ PIMO นั้น นายวสันต์ กล่าวว่า ตั้งแต่ก่อนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น ก็มีบริษัทในประเทศราว 2 แห่งที่แสดงความสนใจเข้ามาขอซื้อหุ้น แต่ตนเองก็ได้ปฎิเสธไปตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว และยืนยันว่าไม่สนใจที่จะขายหุ้นใหญ่ออกไปหรือเปิดทางให้ใครเข้ามาซื้อกิจการของบริษัท

ด้านแหล่งข่าวจาก PIMO กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่า กำไรน่าจะทำได้ดีกว่าปีที่แล้ว จากการบริหารต้นทุนและราคาวัตถุดิบในการผลิตสินค้าปรับตัวลดลง ขณะที่บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ในปีนี้จะเติบโต 10-15% จากปีก่อน แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกจะยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่การเติบโตจะมาจากการออกผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ในช่วงกลางปีนี้ รวมถึงการรุกขยายไปยังตลาดในกลุ่ม CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม ซึ่งเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามาแล้ว เชื่อว่าจะช่วยผลักดันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศในปีนี้เพิ่มเป็น 30% จาก 25% ในปีที่แล้ว

ขณะที่ตลาดในประเทศเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 1/59 โดยเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามามากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อีกทั้งในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน ปกติความต้องการเครื่องปรับอากาศจะเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้มีคำสั่งซื้อมอเตอร์ในส่วนของเครื่องปรับอากาศเข้ามามากขึ้นด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ