ทั้งนี้ การวิจัยพัฒนานวัตกรรมของกลุ่มธุรกิจ EPG แบ่งเป็น การพัฒนาสินค้าเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น/การพัฒนาสินค้าใหม่ให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจ และการพัฒนาด้านการออกแบบเทคโนโลยีเครื่องจักรในการผลิต โดยงบลงทุนดังกล่าวแบ่งตามกลุ่มธุรกิจได้ดังนี้ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็นใช้งบ 30% ธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์ใช้งบ 30% และธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มใช้งบ 20% ของงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม นอกจากนี้ ยังได้สำรองงบประมาณ 20% เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ นอกเหนือการกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอยู่
"นวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่ทำให้ EPG มีความแตกต่าง และไม่เหมือนใคร ทั้งในเรื่อง 1.Innovative Design 2. Innovative Process และ 3.Innovative Material พิสูจน์ได้จากรางวัลด้านนวัตกรรม และสิทธิบัตรกว่า 600 ฉบับ นอกจากนี้ บริษัทได้ก่อตั้ง บริษัท อีพีจี อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมด้านการวิจัยโพลีเมอร์และพลาสติก ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย ณ เขตอุตสาหกรรม อินเตอร์เนชั่นแนล โพลีเมอร์ ปาร์ค (IPP) จ.ระยอง ซึ่งปัจจุบันมีทีมงานด้านวิจัยของกลุ่มบริษัทฯ กว่า 60 คน" นายภวัฒน์ กล่าว
ด้านนายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EPG กล่าวว่า สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาสสุดท้ายสิ้นสุดมีนาคม 59 คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากทุกกลุ่มสินค้าเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น มีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้มั่นใจว่า การเติบโตในปีนี้ (เม.ย.58-มี.ค.59) จะเป็นไปตามเป้าหมาย ที่ 25-30% หรือประมาณ 8,500-9,000 ล้านบาท และจะยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
ในปีนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนสำหรับเข้าซื้อกิจการไว้ราว 1 พันล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา และศึกษางบการเงินบริษัทดังกล่าว โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่มีความเหมาะสมด้านราคาหรือมีข้อติดขัดด้านอื่น บริษัทฯก็ยังไม่จำเป็นที่จะต้องรีบเข้าซื้อกิจการเนื่องจากยังสามารถเติบโตแบบปกติได้
นายเฉลียว คาดว่า บริษัทฯจะเข้าไปสู่ดัชนี SET50 ได้ภายในปี 60-61 และมีรายได้ขึ้นไปแตะระดับ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขึ้นอยู่กับภาพรวมของภาวะตลาดก่อนว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งหากราคาหุ้นขึ้นไปถึงระดับราคา 15 บาท มาร์เก็ตแคปของบริษัทฯก็จะขึ้นไปอยู่ในระดับดัชนี SET50 ได้