โบรกฯเชียร์"ซื้อ"MALEE มองตลาดส่งออกดีหนุนยอดขาย-กำไรโตชดเชยในปท.โตน้อย,บ.ร่วมทุนฟิลิปปินส์ออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday April 10, 2017 15:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกฯแนะซื้อบมจ.มาลีกรุ๊ป (MALEE) แม้ไตรมาส 1/60 ผลการดำเนินงานอาจยังชะลอตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/60 เป็นต้นไป เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจ และจะส่งผลให้ทั้งปีนี้ผลประกอบการน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะมาจากการส่งออกเป็นหลัก โดยเฉพาะธุรกิจน้ำมะพร้าว และแบรนด์ของ MALEE เองที่มีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดในประเทศยังเป็นการเติบโตในระดับที่ไม่สูงมากนัก เนื่องจากการแข่งขันยังคงอยู่ในระดับสูง

ด้านบริษัทร่วมทุนในฟิลิปปินส์ ปีนี้ยังคงคาดว่าจะมีผลขาดทุนอยู่แต่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาดมากขึ้น คาดว่าจะช่วยผลักดันให้ถึงจุดคุ้มทุนได้ในปี 62

ราคาหุ้น MALEE ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 104.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท (4.00%) ขณะที่ SET Index ลดลง 0.22%

          โบรกเกอร์                  คำแนะนำ               ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ทิสโก้                        ซื้อ                      135.00
          ฟินันเซีย ไซรัส                 ซื้อ                      115.00
          ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย)         ซื้อ                      137.00
          ไอร่า                        ซื้อ                      130.00
          ฟิลลิป (ประเทศไทย)            ซื้อ                      116.00
          กรุงศรี                       ซื้อ                      106.00

นักวิเคราะห์หลักรัพย์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้ MALEE ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 10-15% โดยจะมาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกน้ำมะพร้าวไปยังตลาดยุโรปและสหรัฐที่คาดว่าภาพรวมจะเติบโตราว 25% และแบรนด์สินค้าอื่น ๆ ของ MALEE เองคาดว่าจะเติบโตราว 40%

ขณะที่ยอดขายในประเทศ คาดจะเติบโตได้ราว 5% จากการออกสินค้ารสชาติใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นด้วย

ทั้งนี้ แนวโน้มไตรมาส 1/60 ผลประกอบการของ MALEE น่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะยังไม่ใช่ช่วงของการขาย แต่จะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 2/60 และไตรมาส 3/60 เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของตลาดเครื่องดื่ม

ขณะที่บริษัทร่วมทุนในฟิลิปปินส์ออกสินค้าใหม่ เป็นน้ำผลไม้ผสมเยลลี่ 20% แบรนด์ Jelly vit คาดจะมีรายได้ราว 100 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทฯยังมีแผนจะออกสินค้าตัวที่ 3 ในช่วงไตรมาส 2/60 รวมถึงบริษัทร่วมทุนกับ MEGA คาดจะออกสินค้าใหม่ได้ในไตรมาส 4/60

จากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศของ MALEE จึงคาดกำไรสุทธิในช่วง 3 ปี (60-62) จะเติบโตเฉลี่ยปีละ 19-20%

น.ส.สุรีย์พร ทีวะสุเวทย์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ประเมินผลการดำเนินงานของ MALEE ในไตรมาส 1/60 น่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงดีกันของปีก่อนที่มีกำไร 110 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่ใช่ช่วงของไฮซีซี่น และปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4/59 ที่ทำได้ 117 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 4 มีมาตรการช็อปช่วยชาติเข้ามาสนับสนุนยอดขายให้เติบโตขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าในไตรมาส 2/60 ผลการดำเนินงานก็น่าจะฟื้นตัวขึ้นในช่วงไฮซีซั่น

นอกจากนี้ ยังคงประมาณการทั้งปีที่คาดบริษัทฯจะมีรายได้เติบโตราว 10-15% และมีกำไรสุทธิเติบโต 29% มาอยู่ที่ 686 ล้านบาท โดยจะเติบโตจากการส่งออกเป็นหลัก ทั้งการส่งออกแบรนด์ของตัวเองที่น่าจะมีการรุกตลาด CLMV มากขึ้น รวมถึงบริษัทร่วมทุนในฟิลิปปินส์ก็มีการออกสินค้าใหม่ ล่าสุดด้ออกสินค้าตัวที่ 2 เป็นเครื่องดื่มรสผลไม้ผสมวุ้นชื่อ Jelly Vit และมีแผนออกสินค้าตัวที่ 3 ในช่วงปลายไตรมาส 3/60 ดังนั้น ในปีนี้ก็น่าจะมีการรับรู้การขาดทุนลดลง และคาดจะถึงจุดคุ้มทุนได้ในปี 62 ประกอบกับธุรกิจรับจ้างผลิต CMG ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่ารายได้จากการส่งออกโดยรวมในปีนี้จะเติบโตได้ราว 40%

ส่วนยอดขายในประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตราว 5-10% เป็นการเติบโตจากฐานที่ต่ำของปีก่อน และกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัวขึ้น

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า MALEE ยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ 10-15% ในปี 60 ซึ่งที่ผ่านมา MALEE ก็ได้ออกสินค้าตัวใหม่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ คือ the Jelly Vit เพื่อส่งเสริมยอดขาย และผลักดันยอดขายโดยรวมให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 1 พันล้านบาทภายในปี 62 ขณะที่คาดกำไรสุทธิจะเติบโตเฉลี่ย 23.8% ต่อปี ในช่วงปี 60-62

นายพลเทพ วงษ์นาค นักวิเคราะห์ บล.ไอร่า กล่าวว่า MALEE ตั้งเป้ายอดขายเติบโตแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาทในปี 61 หรือเติบโตกว่า 50% จากการเติบโตจากการส่งออกเป็นหลัก ทั้งจากการรับจ้างผลิตน้ำมะพร้าวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการส่งออกภายใต้แบรนด์ MALEE ที่เติบโตขึ้นอย่างมาก จากการรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเมินกำไรสุทธิในปี 60 จะอยู่ที่ 607 ล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปีก่อน

น.ส.นารี อภิเศวตกานต์ นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/60 คาดยอดขายน่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากยอดขายในประเทศที่ยังคงชะลอตัว จากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก รวมถึงภาวะการแข่งขันในประเทศที่รุนแรงในธุรกิจกลุ่มค้าส่ง (CMG) ส่งผลทำให้ยอดขายในประเทศทั้งปี 60 น่าจะเติบโตได้เพียง 5%

ขณะที่ยอดขายโดยรวมปีนี้ยังคงประมาณการการเติบโตของยอดขายไว้ที่ 15% จากปีก่อน หรือมาอยู่ที่ 7,522 ล้านบาทโดยการเติบโตจะมาจากการส่งออกเป็นหลัก และบริษัทร่วมทุนในฟิลิปปินส์ Monde Malee ที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง จากสินค้ากาแฟกระป๋อง KRATOS เริ่มเป็นที่รู้จัก รวมถึงก็มีการออกสินค้าใหม่เพิ่มเติม และจะออกมาอีกในช่วงไตรมาส 3/60 แต่ยังมีความท้าทายจากการแข่งขันที่สูง และภูมิประเทศที่ไม่เอื้อต่อการกระจายสินค้า โดยนคาดปีนี้น่าจะยังรับรู้ผลขาดทุนราว 35 ล้านบาท และจะเริ่มทำกำไรได้ในปี 62 เป็นต้นไป

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.กรุงศรี กล่าวว่า มองแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/60 คาดกำไรน่าจะอยู่ที่ 127 ล้านบาท โดยจะมาจากการส่งออกเป็นหลัก และบริษัทร่วมทุนในฟิลิปปินส์ที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งตัวล่าสุดคือน้ำผลไม้ผสมเยลลี่ 20% แบรนด์ Jelly vit และในไตรมาส 3/60 ก็จะออกสินค้าเพิ่มเติมอีก ทำให้คาดว่ายอดขายจากฟิลิปปินส์ปีนี้จะอยู่ราว 100 ล้านบาท และน่าจะผลักดันผลการดำเนินงานโดยรวมให้เติบโตไปตามเป้าหมายได้

พร้อมกันนี้ คาดยอดขายในประเทศจะเติบโตราว 3% จากปีก่อน เป็นไปตามการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) จากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดกาแฟพร้อมดื่ม และตลาดน้ำดื่มชาเขียว ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายในกลุ่มธุรกิจค้าส่ง (CMG) ในประเทศ และส่งผลมายังการรับจ้างการผลิต (OEM) ขณะที่คาดสัดส่วนการส่งออกปีนี้น่าจะเติบโตได้ถึง 45% จากการส่งออกน้ำมะพร้าวที่คาดจะเติบโตราว 25% และการส่งออกสินค้าภายใต้แบรนด์ MALEE ที่คาดว่าจะเติบโตกว่า 40%

"ในประเทศปีนี้คงโตไม่ได้เยอะ ซึ่งเราคาดการณ์ว่าจะโตได้เพียง 3% สอดคล้องไปกับ GDP ของประเทศ จากสินค้า OEM มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเครื่องดื่มกาแฟ ,ชาเขียว เป็นต้น ประกอบกับ การบริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวดีเท่าที่ควรทำให้ยอดขายในประเทศไม่ได้สูงมากนัก แต่การเติบโตในปีนี้จะมาจากการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะสัดส่วนรายได้จากการส่งออกเพิ่มขึ้นมาที่ 45% จากปีก่อนอยู่ที่ 40%"นายสุนทร กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ