โบรกฯเชียร์"ซื้อ"BCPG มองปีนี้กำไรโตเด่นหลังจะซื้อโรงไฟฟ้าในอินโดฯ,ลุ้นชิงโซลาร์ฟาร์มส่วนราชการฯหนุน PPA เพิ่ม

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 23, 2017 15:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.บีพีซีจี (BPCG) หลังมองกำไรปีนี้เติบโตโดดเด่นหลังการเข้าซื้อหุ้น 40% ในโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์ และจะเข้าซื้อหุ้นราว 17-20% โรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพ 3 แห่งในอินโดนีเซีย คาดแล้วเสร็จกลางปีนี้ หนุนรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นและเติบโตในระยะยาว นอกเหนือจากปีนี้โซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่นจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นราว 40 เมกะวัตต์ (MW) ด้วย

อีกทั้งยังมีลุ้นเข้าชิงโครงการโซลาร์ฟาร์มหน่วยงานราชการและสหกรณ์ภาคการเกษตรเฟส 2 จับสลากคัดเลือกในวันจันทร์หน้า (26 มิ.ย.) ช่วยหนุนสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในมือเพิ่มขึ้น และยังเป็น Upside ต่อประมาณการกำไรในอนาคตด้วย

ขณะที่หุ้น BCPG ยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในระดับที่ดี

พักเที่ยงราคาหุ้น BCPG อยู่ที่ 15.00 บาท ลดลง 0.20 บาท (-1.32%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย เพิ่มขึ้น 0.17%

          โบรกเกอร์                    คำแนะนำ                   ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น)
          ทรีนีตี้                          ซื้อ                          17.00
          ทิสโก้                          ซื้อ                          15.50
          เอเซีย พลัส                     ซื้อ                          15.50

นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า แนวโน้มกำไรสุทธิของ BCPG ในปีนี้จะเติบโตได้กว่า 60% มาที่ 2.5 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าไปลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย ราว 20% ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากการโรงไฟฟ้าที่เพิ่งเข้าซื้อมาในปีนี้ก็จะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรได้เต็มปีในปี 61 ซึ่งจะช่วยหนุนให้ผลกำไรเติบโตขึ้นได้อีกในปีหน้าด้วย

ขณะเดียวกัน BCPG ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จะทยอยแล้วเสร็จจากนี้จนถึงช่วงปี 63 ช่วยหนุนให้อัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ของกำไรสุทธิระหว่างปี 60-62 จะอยู่ที่ราว 25% ต่อปี รวมถึงยังมีโอกาสได้รับงานโครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการฯ ที่จะจับสลากในวันจันทร์หน้า หลังจากที่ BCPG ได้รับการคัดเลือกจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกให้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนโครงการ ตลอดจนมีความร่วมมือกับสหกรณ์ภาคการเกษตรเพื่อเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนโครงการเพิ่มเติมด้วย

"ปีนี้จะเป็นปีที่ดีสำหรับ BCPG ในแง่ของกำลังการผลิตไฟฟ้าและกำไรสุทธิที่จะเติบโตมาก จากแรงหนุนหลักที่เข้ามาในปีนี้คือการเข้าซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ฟิลิปปินส์ ที่ทำดีลเสร็จแล้ว และที่ยัง on process อยู่คือการเข้าซื้อโรงไฟฟ้า geothermal ในอินโดนีเซียที่จะแล้วเสร็จในปีนี้ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเท่าตัว"นักวิเคราะห์ กล่าว

นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ภายหลังการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซียแล้วเสร็จ จะทำให้กำลังการผลิตที่แท้จริงเพิ่มขึ้นถึงราว 148 เมกะวัตต์ (MW) จาก 149.5 เมกะวัตต์ในปี 59 เมื่อรวมกับโรงไฟฟ้าในจังหวัดโอคายามะที่ญี่ปุ่นที่เปิดดำเนินการในปีนี้ และโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์ที่เพิ่งเข้าซื้อมาแล้วจะทำให้กำลังการผลิตที่แท้จริงรวมเพิ่มขึ้นเป็น 322 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้น 115%

สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิดีขึ้นจากไตรมาสแรก หลังมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่จากญี่ปุ่นเริ่ม COD ช่วงปลายไตรมาสแรก รวมถึงจะมีกำไรพิเศษจากการลงนามในสัญญา Settlement Agreement กับบริษัทในกลุ่ม SunEdison ที่จะชำระค่าซื้อกิจการงวดสุดท้าย ทำให้เกิดกำไรจากการเข้าซื้อกิจการเพิ่มขึ้น ขณะที่การปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอัตโนมัติ (เอฟที) งวดเดือนเม.ย.-ก.ค. เชื่อว่า BCPG จะได้รับปัจจัยบวกไม่มากนักเพราะมีโรงไฟฟ้าบางแห่งของ BCPG เท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ดังกล่าวเท่านั้น

ด้านบล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า โครงการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพในอินโดนีเซีย จะเป็นโครงการที่จะช่วยหนุนผลการดำเนินงานของ BCPG ในอนาคต โดยคาดว่าการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพนั้น น่าจะแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานเข้ามาในช่วงไตรมาส 3/60

โครงการดังกล่าวจะช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปีนี้ด้วย นอกเหนือจากการประหยัดต่อขนาดของโครงการโซลาร์ฟาร์มในญี่ปุ่น ที่มีต้นทุนโดยรวมลดลงมาอยู่ที่ 87 ล้านบาท/เมกะวัตต์ ต่ำกว่าอุตสาหกรรมที่อยู่ระดับ 110-140 ล้านบาท/เมกะวัตต์ จากต้นทุนในการก่อสร้างที่ต่ำผ่านการใช้เทคโนโลยี และช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้าง

นอกจากนี้ ยังคาดว่า BCPG มีโอกาสที่จะได้งานโครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการฯ ระยะที่ 2 ราว 20 เมกะวัตต์ ซึ่งยังไม่ได้รวมอยู่ในประมาณการ โดยยังแนะนำ"ซื้อ"หุ้น BCPG มีมูลค่าเหมาะสม 15.50 บาท และยังมีอัพไซด์ต่อประมาณอีก

ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การจับสลากโครงการโซลาร์ฟาร์มสำหรับหน่วยงานราชการฯ ระยะที่ 2 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ จากการประเมินเบื้องต้นพบว่าทุก ๆ 5 เมกะวัตต์ ที่ BCPG เข้าลงทุนในโครงการดังกล่าว จะเพิ่มมูลค่าพื้นฐานราว 0.11 บาท/หุ้น อีกทั้งแนวโน้มกำไรที่เติบโตต่อเนื่องและชัดเจน และมี Expected PER ทยอยลดลงอย่างมีนัยฯเหลือเพียง 12.2 และ 9.1 เท่า ในปี 60-61 ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ

นอกจากนี้ BCPG ยังให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ในระดับที่ดีเกือบ 4% ต่อปี และยังมีประเด็นบวกสนับสนุนจากการได้รับคัดเลือกเข้า SET100 รอบครึ่งหลังของปีนี้ด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนการลงทุนด้วย

เช่นเดียวกับ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า BCPG นอกเหนือจะเป็นบริษัทที่มี platform การลงทุนที่โดดเด่นในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน แต่ยังมีความน่าสนใจในแง่ปันผลด้วย โดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 4.7% สูงกว่าหุ้นอื่นในกลุ่มซึ่งอยู่ที่ 2.0-2.3%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ