บมจ.อิงเกรส อันดัสเตรียล (ไทยแลนด์) (INGRS) ประกาศราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 578,442,900 หุ้น ที่ราคาหุ้นละ 1.33 บาท จากมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ซึ่งจำนวนหุ้นที่เสนอขาย IPO ครั้งนี้คิดเป็น 40% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท คาดว่าจะเปิดจองในช่วง 31 ก.ค.-2 ส.ค.และจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในวันที่ 9 ส.ค.นี้
นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ประธานกรรมการและกรรมการอิสระ INGRS กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัทฯ เพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต และส่วนหนึ่งจะใช้คืนหนี้เงินกู้จากสถาบันทางการเงิน รวมถึงขยายกำลังการผลิตทั้งในอาเซียนและในประเทศไทย
จุดเด่นของ INGRS คือ การเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ชั้นนำระดับอาเซียน ซึ่งผลิตสินค้าส่งออก โดยมีการดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 20 ปี และมีโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย ,มาเลเซีย ,อินโดนีเซีย และอินเดีย
นายสุรินทร์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ใน 4 ประเทศดังกล่าวถือว่ายังมีการเติบโตในอัตราที่สูง โดยเฉพาะอินโดนีเซียและอินเดีย ที่คาดจะเติบโตได้ราว 10-12% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า ขณะที่ประเทศไทยมีประชากรทั้งสิ้น 65 ล้านคน เริ่มมีการขยายตัวทางครอบครัวและมีการพูดถึงรถยนต์คันที่ 2 อีกทั้งมาเลเซียก็น่าจะเติบโตต่อเนื่อง
ประกอบกับ บริษัทมีพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีทั้งผู้ประกอบการในญี่ปุ่นและเกาหลีที่จะเข้ามาถ่ายทอดความรู้ในการพัฒนาสินค้าให้มีความทันสมัย ตอบรับกับความต้องการของลูกค้า
พร้อมกันนี้ บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน เป็นไปตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย และความต้องการของตลาดอาเซียน รวมถึงประเทศคู่ค้าของอาเซียนที่มีการเติบโตในอัตราเร่ง โดยงบปี 60 สิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค.60 บริษัทมีรายได้รวม 2,915.90 ล้านบาท และกำไรสุทธิ (ก่อนหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมบริษัทย่อย) ที่ 210.40 ล้านบาท
ด้านนางวันทนา เพชรฤกษ์วงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาการเงินของ INGRS กล่าวว่า ราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 1.33 บาทต่อหุ้น ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสมและมีความน่าสนใจ โดยคิดเป็น P/E 10 เท่า เทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกันอยู่ที่ P/E เฉลี่ย 15 เท่า ซึ่งมีส่วนลดให้นักลงทุนไม่น้อยกว่า 30%
ทั้งนี้ คาดว่า INGRS จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างดีทั้งฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ด้วยจุดเด่นเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในเอเชียระดับ tire-1 และมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ใน 4 ประเทศ โดย ประเมินว่าหลังจากนี้ธุรกิจยานยนต์จะเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่อง ขณะเดียวกันอัตรากำไรขั้นต้นของ INGRS อยู่ในระดับ 20% ถือว่าสูงกว่าอุตสาหกรรม เพราะมีการใช้เทคโลยีในการผลิตเพื่อช่วยลดต้นทุน